Saturday, October 17, 2015

วิมานคนยาก Cannery Row



วิมานคนยาก หรือ Cannery Row นวนิยายยุคเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ในทศวรรษ 1930 ของจอห์น สไตน์เบ็ก (1902-1968) นักเขียนชาวอเมริกัน แปลโดยณรงค์ จันทร์เพ็ญ เล่าเรื่องผู้คนบริเวณย่านโรงงานปลากระป๋องในเมืองมอนเทรีย์ รัฐแคลิฟอร์เนีย บริเวณรอบๆ โรงงานปลากระป๋องเป็นที่ตั้งของไนท์คลับราคาถูก ภัตตาคาร โรงโสเภณี ร้านขายของชำเล็กๆ ที่มีสินค้าอัดอยู่แน่นร้าน ภายในคูหาเดียวแต่มีของที่ต้องการทุกอย่างของลี่จง ชายชาวจีน (นึกถึงร้านจีฉ่อย ที่สามย่านเลย) , สำนักงานชีววิทยาหรือห้องทดลองสัตว์ของด็อค ห้องเช่าพาเลศ ฟล็อพเฮาส์ที่อยู่ของหนุ่มๆ ที่ไม่มีครอบครัว ไม่มีเงิน โดยมีหัวโจกคือ แม็ค, แฮเซล, เอ็ดดี้, ฮิ้วอี้และโจนส์  5 หนุ่ม ที่คอยแต่สร้างทั้งเรื่องวุ่นวายไม่หยุดหย่อน  ทั้งหมดเป็นฉากในวิมานคนยากที่ตัวละครโลดแล่นอย่างมีชีวิตและเห็นถึงภาพชีวิตในยุคเศรษฐกิจตกต่ำว่าลำบากยากแค้นเพียงใด ได้เห็นถึงน้ำใจอันสูงส่ง ความเข้มแข็งอดทน และอารมณ์ขันอันนุ่มนวลของผู้คนที่อยู่อาศัยในย่านโรงงานปลากระป๋อง อ่านสนุกได้เห็นถึงความผูกผันของคนในชุมชนเล็กๆ แห่งนี้




John Steinbeck นักเขียนชาวอเมริกัน มีผลงานได้รับรางวัลพูลิตเซอร์ เช่น The Grapes of Wrath (1939) East of Eden (1952) และ Of Mice and Men (1973) เขาได้รับรางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรมปี 1962 ผลงานหลายเล่มได้รับการแปลเป็นภาษาไทยแล้ว

Tuesday, September 8, 2015

ความรักและปีศาจตัวอื่นๆ

ความรักและปีศาจตัวอื่นๆ (Of Love and Other Demons) แต่งโดย กาเบรียล การ์เซีย มาร์เกซ แปลโดยชัยณรวค์ สมิงชัยโรจน์  


การ์เบรียล การ์เซีย มาร์เกซ นักเขียนชาวโคลัมเบีย เจ้าของรางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรม ปี 1982 งานเขียนที่มีชื่อเสียงและนักอ่านรู้จักกันดีคือ เรื่อง "หนึ่งร้อยปีแห่งความโดดเดี่ยว" หนังสือของเขาจะเขียนแบบจินตนาการเหนือจริง (Megical Realism) อ่านแล้วต้องถามตัวเองตลอดเวลาว่าเกิดขึ้นจริงเหรอ

ความรักและปีศาจตัวอื่นๆ เป็นเรื่องราวของมา์ควิส กับลูกสาวชื่อเซียร์วา มาเรีย เด โทโดส ลอส อันเฮเลส สาวน้อยวัยสิบสองปีคนหนึ่ง ซึ่งมีเส้นผมยาวจนลากพื้น และตายเพราะถูกสุนัขบ้ากัด ในสมัยนั้นการถูกสุนัขบ้ากัดยากที่จะรอดพ้นความตาย “อาการป่วยไข้” ของเซียร์วา มาเรีย ถูกศาสนจักรพิพากษาว่าเธอถูกปีศาจเข้าสิง และถูกส่งตัวเธอเข้าไปทำพิธีไล่ปีศาจในคอนแวนต์ซันตา คลารา ซึ่งปกครองโดยแม่อธิการโฮเซฟา มีรันดา ผู้มีใจคอคับแคบและเคียดแค้นชิงชัง เซียร์วา มาเรีย ถูกกักขังและทรมานอย่างแสนสาหัส จนกระทั่งบาทหลวงคาเยตาโน เดลาอูรา นักเทววิทยาและบรรณารักษ์หนุ่มผู้มีความคิดแบบเสรี ได้เข้าไปดูแลเธอ คาเยตาโนตกหลุมรักเซียร์วา มาเรีย เขาไม่เชื่อว่าเธอถูกปีศาจสิง แต่เป็นแค่ผู้ป่วยทางจิตใจ เขาพยายามหาทางให้เธอรอดพ้นจากข้อกล่าวหาเพื่อที่เธอจะได้รับอิสรภาพและแต่งงานกัน แต่ก็ถูกศาสนจักรจับได้กับการลักลอบเข้าไปพบหญิงสาว เขาถูกเนรเทศให้ไปทำงานที่โรงพยาบาลโรคเรื้อนและไม่มีโอกาสเจอเธออีกต่อไป สาวน้อยต้องตกอยู่ในมือของของศาสนจักรที่หยิบยื่นความตายให้กับเธออย่างทรมาน

เรื่องนี้อ่านสนุกอีกเล่ม แต่ที่เยี่ยมยอดคือ ด้านหลังมีบทสัมภาษณ์มาร์เกซ เกี่ยวกับงานเขียนและการเข้าไปเกี่ยวข้องการกับการเมืองในละตินอเมริกาแบบลับๆ การปฎิวัติในคิวบา มาร์เกซสนิทสนมกับฟิเดล คาสโตร และทำให้รู้ว่าคาสโตรเป็นนักอ่านชั้นยอดขนาดที่มาร์เกซส่งต้นฉบับนวนิยายของเขาไปให้คาสโตรอ่านก่อน โดยให้เหตุผลว่าฟิเดล คาสโตรเป็นนักอ่านที่ดีมาก มีสมาธิในการอ่าน เป็นคนที่ละเอียดพิถีพิถัน สามารถหาจุดขัดแย้งผิดพลาดในนวนิยายของเขาก่อนพิมพ์ออกมา เป็นอีกหนึ่งเล่มที่หยิบมาอ่านได้เพลินๆ เครียดๆ ดี 

Tuesday, August 21, 2012

ตำรับรักฉบับลิลา Lilla's Feast


ตำรับรักฉบับบลิลลา หรือ เป็นผลงานเขียนของฟรานเชส ออสบอร์น แปลโดย นพมาศ แววหงส์ เป็นชีวประวัติของผู้หญิงอังกฤษคนหนึ่งที่เกิดในประเทศจีนเมื่อสมัยจักรวรรดินิยมในต้นศตวรรษที่ 20 เธอเป็นผู้หญิงเล็กๆ คนหนึ่งที่มีชีวิตที่น่าสนใจจากการต่อสู้ดิ้นรนมาตลอด  ในวัยเด็กและสาวรุ่นที่อยู่ในเมืองจีน ในวัยสาวที่แต่งงานกับนายทหารอังกฤษที่ประจำอยู่ในอินเดีย และใช้ชีวิตลำบากลำบนพยายามรักษาชีวิตแต่งงานไว้ ในวัยสาวใหญ่ที่ตกเป็นม่ายเนื้อหอม และในวัยสูงอายุที่ถูกกักตัวอยู่ในค่ายกักกันของญี่ปุ่นในเมืองจีนในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง

ชีวิตอันยืนยาวและพลิกผันมีขึ้นมีลงของเธอนั้น เธอเองมีส่วนกำหนดอยู่ด้วยไม่มากก็น้อย กระนั้นหลายอย่างในชีวิตที่เธอไม่มีทางเลือก มีทั้งโชคและเคราะห์กรรมซ้ำกรรมซัด เธอเป็นนักสู้ที่น่ายกย่องคนหนึ่ง เป็นกุลสตรีที่เพียบพร้อมด้วยคุณสมบัติของแม่ศรีเรือน ชีวิตของเธอจึงเป็นชีวิตที่น่าศึกษาแก่คนอย่างเราๆ เป็นอย่างยิ่ง

สิ่งที่เธอทิ้งไว้เบื้องหลังให้เป็นสมบัติของชาติอังกฤษของเธอคือ ตำราอาหารเล่มหนึ่ง ความน่าสนใจของตำราอาหารเล่มนี้ไม่ได้อยู่ที่ความเป็นคู่มือในการทำอาหารและดูแลบ้านเรือนเท่านั้น แต่อยู่ที่ว่าตำราเล่มนี้เขียนขึ้นระหว่างที่เธอใช้ชีวิตอย่างอดหยากหิวโหยอยู่ในค่ายกักกันระหว่างสงคราม การที่เธอยังมีกะจิตกะใจจะเขียนถึงการทำกับข้าวและการดูแลบ้านเรือนให้สวยงามสุขสบายนั้น แสดงให้เห็นถึงจิตวิญญาณของมนุษย์ที่แกร่งทรหดและความหวังที่ไม่เคยดับสิ้นที่เป็นสิ่งหล่อเลี้ยงให้ชีวิตดำเนินอยู่ได้ แม้ในยามยากแค้นแสนลำเค็ญ

นอกจากเรื่องราวแสนสนุกอย่างน่าอัศจรรย์ใจในชีวิตที่ต่อสู้ของผู้หญิงคนนี้แล้ว ตำรับรักฉบับลิลลา ยังให้กำลังใจแก่ผู้อ่านในการต่อสู้กับชีวิตต่อไป---ผู้แปล

Friday, July 20, 2012

สามสายใยในเงาอดีต The Bonesetter's Daughter

The Bonesetter's Daughter จากผลงานการประพันธ์ของนักเขียนคนโปรด เอมี่ ตัน แปลโดยจิรภรณ์ จันทวนิชกุล นวนิยายเล่มที่ 4 เอมี่ ตันได้แบ่งโครงเรื่องหลักๆ ออกเป็นสามภาค ภาคแรกเกิดขึ้นในแคลิฟอร์เนียยุคปัจจุบัน ซึ่งผู้อ่านจะได้รู้จักกับหญิงสาวสายเลือดจีน-อเมริกัน ชื่อรูธ ที่กำลังมีปัญหากับชายคนรัก ในขณะที่แม่กำลังเริ่มป่วยด้วยโรคสมองเสื่อม ส่วนภาคที่สอง ตอนกลางของเรื่องเป็นอัตชีวประวัติของแม่เธอเองที่เขียนขึ้นมาไม่นาน ราวกับรู้ล่วงหน้าว่าตัวเองกำลังสมองเสื่อม แม่ของเธอต้องการบันทึกทุกอย่างที่สำคัญในชีวิตเพื่อให้รูธจดจำสืบทอดต่อไป โดยเฉพาะชีวิตที่เมืองจีน ส่วนภาคสุดท้าย กลับมาเป็นเรื่องราวของรูธที่กลับมาทบทวนชีวิตตัวเองอีกครั้งหนึ่งว่า อดีตของแม่ที่เธอรัีบรู้มานั้น จะช่วยแก้ไขปัญหาชีวิตของเธอในปัจจุบันได้อย่างไรบ้าง ความแตกต่างทางความคิดระหว่างคนตะวันออกกับตะวันตกจะสร้างสีสันฉูดฉาดให้กับเรื่องราวค่อนข้างมาก ไม่ว่าจะด้วยความเป็นมาทางประวัติศาสตร์และรายละเอียดทางวัฒนธรรมที่แตกต่างกันอย่างสุดขั้ว

Sunday, July 1, 2012

ชีวิตรื่นรมย์ กนกรัตน์วงศ์สกุล

คนข่าวอารมณ์ขันต้องยกให้กนก รัตน์วงศ์สกุล เอาเล่มนี้มาเขียนเพื่อไว้อาลัยกับการจากไปของรายการข่าวข้น คนข่าวทางช่อง 9 อสมท. ซึ่งตัวเองเป็นแฟนรายการนี้อยู่ เพราะคุณกนกและอีกสองท่านนำเสนอข่าวได้อย่างสนุกสนานมีชีวิตชีวา มีการตบมุกกันไปมา เรียกว่าขนาดนำเสนอดึกแค่ไหนก็ยังตามดูหลายคนเชื่อว่าการหลุดผังครั้งนี้มาจากการเมืองเปลี่ยนขั้วทำให้รายการนี้ต้องถูกเปลี่ยน ใครที่ติดตามคุณกนกจะเห็นว่าเขาแสดงจุดยืนอยู่ตรงข้ามผู้มีอำนาจอย่างไม่เกรงกลัวใคร จนเคยมีคนไร้วุฒิภาวะบุกไปเอาเรื่องถึงสถานีมาแล้ว ก็คงต้องให้กำลังใจกันต่อไป คนมีคุณภาพไม่นานหรอกเขาต้องกลับมา มาว่าถึงหนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือที่คุณกนก เขียนเล่าเรื่องของตัวเองนับตั้งแต่เป็นนักศึกษาคณะวารศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จนกระทั่งมาเป็นนักอ่านข่าวที่มีชื่อเสียงคนหนึ่งในวงการสื่อสารมวลชน ดังที่คุณสุรางค์ เปรมปรีดิ์ได้เขียนไว้ในหนังสือเล่มนี้ว่า ถ้าคุณชอบฟังคุณกนกคุยทางวิทยุหรือโทรทัศน์ อ่านหนังสือเล่มนี้จะมีรสชาติมากกว่าหลายเท่า และจะชื่นชอบคุณกนกมากขึ้นอีกด้วย คุณกนกเล่าชีวิตตั้งแต่เยาว์วัยได้น่าเอ็นดู รู้สึกได้ว่าเป็นชีวิตจริงที่ไม่ได้ปรุงแต่ง หรือที่คุณสุทธิชัย หยุ่น เขียนว่า อ่าน "ชีวิตรื่นรมย์" แล้ว คุณจะไม่ต้องถามตัวเองอีกว่า ทำไมอยากรู้จักผู้ชายน่ารัก น่าคบหาคนนี้นัก

Monday, June 18, 2012

ความน่าจะเป็นบนเส้นขนาน เล่ม 4

ความน่าจะเป็นบนเส้นขนาน ทุกเล่มเป็นหนังสือที่ทำให้การออกกำลังกายในฟิตเนตของตัวเองไม่น่าเบื่อ ปั่นจักรยานไปหยิบหนังสือชุดนี้มาอ่าน ได้สนุกกับความคิดที่โต้ตอบกันระหว่างวินทร์ เลียววาริณและปราบดา หยุ่น ผ่านทางอีเมล์ เนื่องจากเป็นตอนสั้นๆ สามารถหยุดอ่านไปหลายวันก็หยิบมาอ่านได้ เล่มนี้เป็นเล่มที่ 4 ที่อ่านจบ ก็ยังเหมือนเดิมคือเขียนถึงทุกเรื่องตังแต่การเมือง ข่าวลือข่าวหลอก เมืองนอกเมืองนา จนถึงเข้าป่าแค้มปิ้ง ชุดนี้มีถึงเล่ม 7 แล้ว คงต้องรีบตามอ่านก่อนที่เหตุการณ์บางเรื่องก็ตกยุคสมัยไปแล้ว

Thursday, June 14, 2012

101 วัน นรกในแบกแดด

ใครที่จำได้ โอสเนอ แซร์สตัด นักข่าวชาวนอร์เวย์ ที่ได้เข้าไปทำข่าวในเมืองคาบูล ประเทศอัฟกานิสถาน ยุคตาลีบันครองเมือง จนได้หนังสือเล่มหนึ่งที่สร้างชื่อเสียงให้กับเธอคือ  ถนนหนังสือสายคาบูล (The Bookseller of Kabull) และอีกสองปีต่อมาเธอได้เดินทางไปยังกรุงแบกแดดเมืองหลวงของอิรัค โดยมีสัญญาว่าจ้างกับรายการโทรทัศน์ วิทยุ และหนังสือพิมพ์หลายแห่ง เพื่อรายงานสถานการณ์สงครามระหว่างอเมริกากับอิรัค โอสเนอได้รวบรวมข้อมูลจากการสังเกตการณ์และสัมภาษณ์ชาวอิรักตลอดระยะเวลา 101 วัน นับตั้งแต่สงครามเริ่มปะทุ สหรัฐอเมริกาส่งกองกำลังเข้าโจมตีกรุงแบกแดดทั้งทางอากาศและภาคพื้นดิน จนกระทั่งสงครามจบ ทิ้งไว้เพียงซากปรักหักพัง ซากศพ และความเจ็บปวดของประชาชนผู้บริสุทธิ์  จนได้เป็นหนังสือเล่มนี้ที่ชื่อ 101 วัน นรกในแบกแดด (A Hundred and One Days) แปลโดยโสภาพรรณ รัตนัย ซึ่งไม่เพียงฉายภาพความโหดร้ายของสงคราม แต่ยังสะท้อนความรู้สึกนึกคิดของประชาชนชาวอิรักต่อชะตากรรมที่พวกเขาต้องก้มหน้ารับโดยไม่มีทางหลีกเลี่ยง  บันทึกของโอสเนอไม่ใช่เพียงเอกสารประวัติศาสตร์อันทรงคุณค่าเท่านั้น แต่เป็นเครื่องเตือนใจให้เราสำนึกถึงความโหดร้ายของสงคราม