Tuesday, May 31, 2011
The Diary of a Young Girl By Anne Frank
บันทึกลับ ของ แอนน์ แฟร้งค์ หรือ The Diary of a Young Girl by Anne Frank เขียนโดย แอนน์ แฟร้งค์ (อันเน่อ ฟรังค์) แปลโดย สังวรณ์ ไกรฤกษ์ แอนน์ แฟร้งค์ เด็กผ้หญิงชาวยิวที่ต้องหลบซ่อนพวกนาซีเยอรมันอยู่ในฮอลแลนด์ที่ถูกยึดครองอยู่ 2 ปี เริ่มเขียนสมุดบันทึกในที่หลบซ่อน เมื่อวันที่ 12 มิถุนายน ค.ศ.1942 และสิ้นสุดการบันทึกเมื่อวันที่ 1 สิงหาคม ค.ศ.1944 อีกสามวันต่อมาก็ถูกจับพร้อมผู้หลบซ่อนรวม 8 คน และถูกนำไปยังค่ายกักกันแบร์กเกิ้น-เบลเซิ่นและเสียชีวิตด้วยโรคไทฟอยด์ แอนน์ แฟร้งค์เล่าถึง 8 ชีวิตที่ต้องใช้ชีวิตร่วมกันในที่หลบซ่อนซึ่งต้องเก็บตัวเงียบ ไม่ให้มีเสียงเล็ดลอดออกสู่ภายนอก เล่าถึงการใช้ชีวิตในแต่ละวัน ความรัก ความใฝ่ผัน ความกลัวที่สร้างความประทับใจให้กับคนทั้งโลก กับการเผชิญกับชะตากรรมอันโหดร้ายของเด็กหญิงเล็กๆ คนหนึ่ง หนังสือของเธอได้รักการแปลและพิมพ์เป็นภาษาต่างๆ กว่า 55 ภาษา และเรื่องนี้ยังนำมาทำเป็นละครบรอดเวย์ในนิวยอร์คและประเทศอังกฤษ สร้างเป็นภาพยนตร์ และออกแสดงทางโทรทัศน์ด้วยเป็นที่ยกย่องว่าเป็นเรื่องจริงที่อมตะ ชื่อของแอนน์ แฟร้งค์ จึงแพร่สะพัดไปทั่วโลกอยู่จนทุกวันนี้
Animal Farm
Animal Farm วรรณกรรมอมตะชื่อดังซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีทั่วโลก ผลงานคลาสสิคของนักเขียนชื่อดัง George Orwell แปลโดย พันเอก ดร.ชัยพฤกษ์ ปิลกศิริ นวนิยายเสียดสีเปรียบเปรยการเมืองผ่านสัตว์น้อยใหญ่ งานเขียนลือชื่อของ George Orwell เขียนขึ้นปี ค.ศ.1945 โดยมีจุดประสงค์ในการวิพากษ์วิจารณ์และเสียดสีการเมืองของสหภาพโซเวียตหรือรัสเซียตั้งแต่ในช่วงที่มีการปฎิวัติล้มล้างการปกครอง เรื่อยมาจนกระทั่งเข้าสู่ยุคเรืองอำนาจของโจเซฟ สตาลิน ผู้ซึ่งกำจัด ลีออน ทร็อตสกี้ คู่แข่งทางการเมืองคนสำคัญลงไปได้ ก่อนที่เขาจะกลายเป็นผู้นำที่มีอำนาจเบ็ดเสร็จแต่เพียงผู้เดียว สตาลินใช้อำนาจนั้นโดยไร้ขอบเขต เขาครอบงำความคิดของประชาชนจนส่วนใหญ่หลงเชื่อและยกย่องบูชา ซึ่งถึงแม้ว่าประชาชนส่วนหนึ่งจะรู้ทัน แต่ก็ไม่มีใครกล้าแข็งข้อ ทั้งนี้เนื่องจากสตาลินได้มีการจัดตั้งกองกำลังลับเพื่อคอยกำจัดผ้ที่ไม่เห็นด้วยกับแนวความคิดของเขา
Animal Farm เป็นเรื่องราวของสัตว์นานาชนิดที่มีชีวิตอยู่ใน แมนเนอร์ฟาร์ม โดยมี หมู เป็นสัตว์ตัวหลักที่ตั้งตนขึ้นเป็นผู้นำและคิดว่าจนนั้นมีมันสมองเหนือกว่าสัตวชนิดอื่นใด ไม่ว่าจะเป็นม้า วัว แพะ แกะ เป็ด ไก่ ห่าน สุนัข แมวฯลฯ อีกทั้งหมูยังเป็นต้นคิดในการแสดงพลังขับไล่มนุษย์ ผู้เป็นเจ้าของฟาร์มให้ต้องหนีออกไป ก่อนจะเข้ายึดฟาร์มเป็นของตน และเป็นที่มาของ Animal Farm
มุมสะท้อนหนึ่งจากเรื่อง Animal Farm ชี้ให้เห็นถึงการเมืองในสังคมของสัตว์ ที่ต่างต้องการผู้นำที่เข้มแข็ง ฉลาด แต่ก็มีจริยธรรมในคราวเดียวกัน มิได้มีเพียงความกระหายที่จะตักตวงผลประโยชน์ให้แก่ตนเองและพวกพ้องแต่เพียงอย่างเดียว เจ้าหมูนโปเลียนเป็นตัวอย่างสำหรับเรื่องนี้ได้เป็นอย่างดี
พันเอก ดร.ชัยพฤกษ์ ปิลกศิริ ได้แปลและเรียบเรียง Animal Farm จากต้นฉบับเดิมเป็นฉบับภาษาไทยได้อย่างสละสลวย ช่วยให้อ่านได้อย่างสนุก และไม่เสียอรรถรสในการอ่านแม้แต่น้อย เรื่องราวการเมืองย่อยๆ ในสังคมของสัตว์นั้นวุ่นยวายยุ่งเหยิงไม่ใช่เล่น แต่ก็อ่านได้สนุกไม่แพ้กัน ถึงแม้เนื้อเรื่องอาจจะไปตรงกับการเมืองของประเทศใดประเทศหนึ่งในยุคนี้บ้างก็ตาม
Animal Farm เป็นเรื่องราวของสัตว์นานาชนิดที่มีชีวิตอยู่ใน แมนเนอร์ฟาร์ม โดยมี หมู เป็นสัตว์ตัวหลักที่ตั้งตนขึ้นเป็นผู้นำและคิดว่าจนนั้นมีมันสมองเหนือกว่าสัตวชนิดอื่นใด ไม่ว่าจะเป็นม้า วัว แพะ แกะ เป็ด ไก่ ห่าน สุนัข แมวฯลฯ อีกทั้งหมูยังเป็นต้นคิดในการแสดงพลังขับไล่มนุษย์ ผู้เป็นเจ้าของฟาร์มให้ต้องหนีออกไป ก่อนจะเข้ายึดฟาร์มเป็นของตน และเป็นที่มาของ Animal Farm
มุมสะท้อนหนึ่งจากเรื่อง Animal Farm ชี้ให้เห็นถึงการเมืองในสังคมของสัตว์ ที่ต่างต้องการผู้นำที่เข้มแข็ง ฉลาด แต่ก็มีจริยธรรมในคราวเดียวกัน มิได้มีเพียงความกระหายที่จะตักตวงผลประโยชน์ให้แก่ตนเองและพวกพ้องแต่เพียงอย่างเดียว เจ้าหมูนโปเลียนเป็นตัวอย่างสำหรับเรื่องนี้ได้เป็นอย่างดี
พันเอก ดร.ชัยพฤกษ์ ปิลกศิริ ได้แปลและเรียบเรียง Animal Farm จากต้นฉบับเดิมเป็นฉบับภาษาไทยได้อย่างสละสลวย ช่วยให้อ่านได้อย่างสนุก และไม่เสียอรรถรสในการอ่านแม้แต่น้อย เรื่องราวการเมืองย่อยๆ ในสังคมของสัตว์นั้นวุ่นยวายยุ่งเหยิงไม่ใช่เล่น แต่ก็อ่านได้สนุกไม่แพ้กัน ถึงแม้เนื้อเรื่องอาจจะไปตรงกับการเมืองของประเทศใดประเทศหนึ่งในยุคนี้บ้างก็ตาม
Sunday, May 29, 2011
The Kitchen Boy
The Kitchen Boy หรือ วาระสุดท้ายของซาร์นิโคลัสที่ 2 คำให้การของเด็กรับใช้ในห้องเครื่อง ผลงานของ Robert Alexander แปลโดย มมันยา เป็นนวนิยายอิงประวัติศาสตร์ที่สนุกมากอ่านแล้ววางไม่ลง เป็นการเล่าเรื่องช่วงชีวิตสุดท้ายของพระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ 2 แห่งราชวงศ์โรมานอฟและครอบครัวที่ถูกจับกุมคุมขังก่อนที่จะถูกปลงพระชนม์อย่างทารุณ โดยผ่านการเล่าเรื่องของลีออนก้า เด็กรับใช้ในห้องเครื่อง ที่เห็นเหตุการณ์การสังหารหมู่ครอบครัวโรมานอฟ และรอดจากเหตการณ์ครั้งนั้นมาได้ เริ่มจากเรื่องราวของวันที่ 20 มิถุนายน 1918 เมื่อทุกคนถูกกักตัวอยู่ที่คฤหาสน์อิปาติเยฟ ลีออนก้าเป็นผู้เดินสาส์นระหว่างพระเจ้าซาร์กับกลุ่มผู้ภักดีต่อพระเจ้าซาร์ จึงรับรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นในคฤหาสน์แห่งนี้ โดยเฉพาะการสังหารหมู่ครอบครัวโรมานอฟ รวมทั้งเหตุการณ์ที่พระศพหายไป 2 พระศพ หลักฐานที่อ้างองถึงในนวนิยายเรื่องนี้ ไม่ว่าจะเป็นจดหมายโต้ตอบและวัตถุพยานต่างๆ มีอยู่จริงและได้รับการเก็บรักษาไว้ในพิพิธภัณฑ์หลายแห่งทั่วโลก ทำให้นิยายเรื่องนี้ดูสมจริง น่าตื่นเต้น อเล็กซานเดอร์เขียนเรื่องราวชวนให้ผู้อ่านสงสัยใคร่รู้และหักมุมตอนจบได้อย่างน่าทึ่ง โดยเฉพาะฝีมือแปลของมนันยาดีจริงๆ
The Catcher in the Rye
The Catcher in the Rye ในชื่อภาษาไทยที่ยาวว่า จะเป็นผู้คอยรับไว้ ไม่ให้ใครร่วงหล่น ผลงานเขียนของ เจ.ดี. ซาลินเจอร์ (J.D. Salinger) แปลโดยปราบดา หยุ่น เป็นนวนิยายของนักเขียนอเมริกันเกี่ยวกับวัยรุ่นที่รู้สึกแปลกแยกกับชีวิตและสังคมในนครนิวยอร์ค ซึ่งสะท้อนวิธีคิดและการใช้ภาษาหยาบแบบที่วัยรุ่นเป็นจริงๆ และการได้ปราบดา หยุ่นซึ่งเคยใช้ชีวิตวัยเรียนที่นิวยอร์คมาแปล ปราบดาใช้ภาษาหยาบๆ ได้ดีมาก ชอบงานแปลของปราบดาในเล่มนี้มาก และอยากอ่านงานแปลของปราบดาอีก
หนังสือเรื่องนี้เคยมีคนแปลเอาไว้แล้วในชื่อ ชั่วชีวิตของผม และทุ่งฝัน
Long Way Round
หนังสือ Long Way Round การเดินทางไล่เงาตะวันไปจนสุดของโลกของสองนักแสดงชื่อก้อง คือ ยวน แม็คเกรเกอร์ และชาร์ลี บอร์แมน แปลโดย นรนิต์ สุวณิชย์ เป็นเรื่องราวของการขี่มอเตอร์ไซด์เป็นระยะทางกว่า 20,000 ไมล์ ข้ามภูมิประเทศทุรกันดารซึ่งเลวร้ายขึ้นทุกไมล์ ยวนกับชาร์ลีเดินทางไล่ล่าเงาของตัวเอง ผ่านทวีปยุโรป ยูเครน คาซัคสถาน มองโกเลีย รัสเซีย ข้ามมหาสมุทรแปซิฟิกไปอะแลสกา จากนั้นก็ขี่ลงใต้ผ่านแคนาดา และสหรัฐอเมริกา หนังสือเล่มนี้เหมือนบันทึกเรื่องราวที่เขาพบเจอ ความยากลำบากของการเดินทาง ลักษณะการเขียนเหมือนต่างคนต่างเขียนไดอารี่เล่าเรื่องของตัวเอง ทั้งแม็คเกรเกอร์และบอร์แมน พิสูจน์ตัวเองแล้วว่าเป็นนักเล่าเรื่องได้อย่างมีเสน่ห์ ชัดเจน ตรงประเด็น และสนุกสนาน เป็นหนังสือท่องเที่ยวที่น่าประทับใจตรงไปตรงมาสนุกจนวางไม่ลง โดยเฉพาะผู้ที่ชอบหนังสือท่องเที่ยวและผู้คลั่งไคล้มอเตอร์ไซด์ โดยส่วนตัวแล้วชอบยวน แมคเกรเกอร์พอเห็นก็รีบคว้ามาอ่านโดยทันที
ฉันรักหนังสือ
ฉันเป็นคนที่ชอบอ่านหนังสือมาก สมัยยังเรียนมัธยมห้องสมุดประชาชนในจังหวัดที่ฉันอยู่จะมีชื่อของฉันอยู่หลายเล่มทีเดียว เสาร์อาทิตย์ฉันมักจะขลุกอยู่ที่นี่ จำได้ว่าบางครั้งต้องคอยหลบแม่ที่ให้นอนเพราะต้องตื่นเช้าไปโรงเรียน ฉันใช้วิธีคลุมโปรงแล้วเอาไฟฉายส่องอ่าน สิ่งทีได้กลับมาคือฉันสายตาสั้นตั้งแต่เด็ก สิ่งที่มีความสุขอีกอย่างคือ ฉันชอบตามพ่อมาวังบูรพา เวลาพ่อต้องมาซื้อของ พ่อจะให้เงินพวกเรา 200-300 บาท ที่นี่สมัยก่อนจะมีร้านขายหนังสืออยู่หลายร้าน เช่น แพร่พิทยา โอเดียนสโตร์ เราสามารถจะเลือกซื้อหนังสืออะไรก็ได้ในวงเงินที่พ่อให้ ตอนนั้นจำได้เราซื้อทั้งของทมยันตรี โรสลาเรน ลักษณาวดี กฤษณา อโศกสินฯลฯ ขอบคุณพ่อกับแม่ถึงแม้จะเป็นเพียงชาวบ้านธรรมดาคนหนึ่ง แต่ก็สนับสนุนส่งเสริมให้ลูกเป็นคนรักการอ่านมาจนถึงขณะนี้
บล็อกแห่งนี้จึงเป็นที่ที่ฉันจะรวบรวมเก็บหนังสือที่ฉันรักทุกเล่ม และยังมี Book mark ที่ฉันสะสมอีกจำนวนมาก
บล็อกแห่งนี้จึงเป็นที่ที่ฉันจะรวบรวมเก็บหนังสือที่ฉันรักทุกเล่ม และยังมี Book mark ที่ฉันสะสมอีกจำนวนมาก
Subscribe to:
Posts (Atom)