Tuesday, December 20, 2011

สอยกระแส โดย พลอย จริยะเวช

พลอย จริยะเวช เป็นหนึ่งในนักเขียนที่ชอบมาก และมีผลงานของคุณพลอยไว้ครอบครองทุกเล่ม และนี่คือหนึ่งในเล่มที่ซื้อไว้นานมาก สอยกระแส เป็นหนังสือที่รวมรวมบทความ 20 เรื่องจากคอลัมน์ที่เธอเขียนลงในนิตยสารอิมเมจและหนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายวัน พลอยจะเก็บเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยที่อยู่รอบตัวมาเขียนได้อย่างน่ารัก กิ๊บเก๋ อ่านสนุกและเพลิดเพลิน มองลองในแง่บวกเสมอ ก็เลยเป็นนักเขียนที่ชอบเป็นพิเศษ

Friday, December 2, 2011

กูรู้

กูรู้ ผลงานเขียนของปารเมศร์ รัชไชยบุญ คนโฆษณาที่มาเล่าเรื่องในวงการโฆษณา การสร้างแบรนด์สินค้า เขียนจากประสบการณ์จริงที่อยู่ในวงการนี้ กว่าจะเป็นงานโฆษณาแต่ละชิ้นออกสู่สายตาผู้ชมเพียงไม่กีวินาที มีเบื้องหลังมากมาย ทุกอย่างไม่มีสูตรสำเร็จ แต่มาจากมันสมองการคิดสร้างสรรค์ของคนทำโฆษณา  เป็นหนังสือที่อ่านสนุกมากเล่มหนึ่ง โดยเฉพาะคนที่สนใจจะทำงานโฆษณาอย่าพลาด

จากเชียงรุ้งถึงฮอยอัน


จากเชียงรุ้งถึงฮอยอัน ผู้เขียนคือ สมพงษ์ งามแสงรัตน์ เป็นบันทึกการท่องเที่ยว 3 ประเทศแถบอินโดจีน ที่เน้นรูปวาดสีน้ำประกอบเรื่องเล่า ผู้ชายคนนี้เดินทางจากกรุงเทพฯ ไปประเทศลาว ผ่านเข้าสู่ประเทศจีน เมืองเชียงรุ้ง แคว้นสิบสองปันนา สู่คุนหมิง ต้าหลี่ ลี่เจียง แชงกรีลา ก่อนจะวกกลับไปประเทศเวียตนาม เมืองฮานอย เว้ ฮอยอัน และเข้าประเทศลาวอีกครั้ง เพื่อกลับสู่ประเทศไทยตรงจังหวัดมุกดาหาร ทั้งหมดที่กล่าวมา เขาไม่ได้นั่งเครื่องบินเลย เสน่ห์อีกอย่างของการเดินทางด้วย เท้า รถยนต์ รถไฟ ที่อาจจะสะดวกสบายน้อยกว่า แต่กลับสนุกกว่า ตรงที่มีเวลาละเลียดแวะชมรายทางได้ใกล้ชิดกว่า อาจจะช้า แต่ค่อยเป็นค่อยไป และซึมซับเรื่องราวต่างที่ต่างวัฒนธรรมได้งดงาม ว่าแล้วจะจัดกระเป๋าเดินทางตามรอยก็ไม่ว่า หรืออยากจิบชาชมบรรยากาศไปพร้อมกับหนังสือของเขาได้เที่ยวแบบไม่ต้องไปเอง ก็ไม่มีใครว่าเช่นกัน

Wednesday, November 30, 2011

ข้างครัว

อาหาร จัดว่าเป็นศิลปะอย่างหนึ่งทั้งในส่วนของผู้ปรุงและผู้รับประทาน การคิดค้นปรุงแต่งวัตถุดิบตามธรรมชาติให้เป็นอาหารหลากหลายรสชาติและรูปแบบ แตกต่างกันไปตามแต่ละสังคมและวัฒนธรรม เกิดเป็นอาหารไทย อาหารจีน อาหารญี่ปุ่น อาหารอิตาเลียน อาหารฝรั่งเศส และอีกมากมาย ข้างครัว  จะนำพาท่านสู่โลกของอาหารจากประสบการณ์ในการที่ได้ลองลิ้มชิมรสอาหารนานาชนิดของอาจารย์พิชัีย วาศนาส่ง ซึ่งเต็มไปด้วยเรื่องราวที่น่ารู้เกี่ยวกับเกร็ดประวัติของอาหารบางชนิดที่เราๆ ท่านๆ นิยมกินกันอยู่ทุกวันนี้ เคล็ดในการกินอาหารให้อร่อย รวมถึงความเข้าใจในธรรมชาติของอาหารบางชนิด ที่สำคัญคือ การกินเป็น  ที่มิใช่จะกินเก่งแต่เพียงอย่างเดียว หนังสือเล่มนี้จีึงเหมือนปทานุกรมคู่ใจนักกินนักชิมทุกท่าน

Friday, September 23, 2011

คัทซึชิคะ โฮะคุไซ KATSUSHIKA HOKUSAI


หนังสือรวบรวมผลงานภาพพิมพ์ของศิลปินคัทซึชิคะ โฮะคุไซ ศิลปินชาวญี่ปุ่นที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลก โฮะคุไซ เกิดเมื่อวันที่ 23 กันยายน ค.ศ.1760 หรือที่เรียกในแบบญี่ปุ่นว่าสมัยโฮเระคิ (ค.ศ.1751-1764) ในบริเวณที่ปัจจุบันคืออำเภอสุมิดะ แทบจะไม่มีรายละเอียดเกี่ยวกับตัวเขามากเท่าไรนัก มีทฤษฎีว่าโฮะคุไซน่าจะมีบิดาเป็นช่างทำกระจกสำหรับโชกุน แต่ก็ยังไม่แน่นอนนัก ชื่อเมื่อแรกเกิดของโฮะคุไซคือ โทะคิทะโระ (Tokitaro) ซึ่งเปลี่ยนเป็น เท็ตซึโซ (Tetsuzo) ในภายหลัง เมื่อแก่ตัวลงโฮะคุไซเคยกล่าวไว้ว่าเขาชอบวาดภาพสเกตช์จากชีวิตจริงตั้งแต่เมื่ออายุ 5 หรือ 6 ขวบเท่านั้น

ฐานะของครอบครัวโฮะคุไซไม่น่าจะดีนัก หลักฐานบางส่วนกล่าวว่าเขาต้องทำงานเป็นผู้ช่วยในร้านเช่าหนังสือและหาเลี้ยงชีพในช่วงวัยรุ่นด้วยการเป็นช่างแกะแม่พิมพ์ไม้ ดังนั้นก่อนที่ปรากฎตัวออกมาในโลกแห่งศิลปะเมื่ออายุ 19 ปี เราพอจะเห็นได้ว่าเหตุใดเด็กชายผู้นี้จะกลายมาเป็นคนที่เกี่ยวข้องกับทั้งวงการวาดภาพและการพิมพ์ไม้แบบอุคิโยะเอะ

โฮะคุไซเข้าเป็นลูกศิษย์ของ คัทซึคะวะ ซุนโช (Katsukawa Shunsho ค.ศ.1726-1792) ศิลปินภาพวาดและภาพพิมพ์แกะไม้ที่มีชื่อเสียงในฐานะช่างที่ผลิตผลงานภาพเหมือนของนักแสดงคะบุคิ เมื่ออายุได้ 19 ปี จากนั้นไม่นานโฮะคุไซก็ผลิตผลงานของตนเองในชื่อ คัทซึคะวะ ซุนโร (Katsukawa Shunro) งานที่หลงเหลืออยู่บอกว่าผลงานเปิดตัวของโฮะคุไซเกิดขึ้นใน ค.ศ. 1779 เป็นภาพพิมพ์ไม้รูปนักแสดงที่มีฉากหลังเป็นอาคารไม้ ภาพพนักงานเสิร์ฟของร้านน้ำชาริมทางเป็นฉากในละครคะบุคิ จะเห็นลักษณะของเส้นที่ค่อนข้างอ่อนไหว การเน้นสร้างภาพที่มีบรรยากาศประกอบ


 โฮะคุไซสร้างสรรค์ผลงานชั้นเลิศเอาไว้จำนวนมาก ทั้งภาพชุดภูเขาฟูจิ กับ "คลื่นใหญ่นอกคะนะงะวะ" ที่เป็นตัวแทนประเทศญี่ปุ่นอย่างเป็นทางการ ผู้ทำให้ภาพพิมพ์อุคิโยะเอะขึ้นถึงจุดสูงสุดในทุกแนวภาพ ต้นกำเนิดของ "มังระ" หรือการ์ตูนญี่ปุ่น ฯลฯ พบกับการรวบรวมครั้งสำคัญและศึกษาประวัติชีวิตกับผลงานศิลปินขวัญใจมวลชนญี่ปุ่นครั้งแรกในภาษาไทย

Saturday, September 10, 2011

จากนิวยอร์คถึงโตเกียว

จากนิวยอร์คถึงโตเกียว บันทึกการเดินทางของศิลปินหนุ่ม ชูเกียรติ ฉาไธสง ซึ่งได้รับเชิญจากสถานทูตไปเล่นดนตรีในนิวยอร์ค วอชิงตัน ดี.ซี. โตเกียว  และโอซาก้าในฐานะเป็นตัวแทนเผยแพร่วัฒนธรรมทางดนตรี ชูเกียรติพยายามบันทึกทุกอย่างที่พบเห็นด้วยกล้องถ่ายรูปและการเขียนเป็นตัวหนังสือ เพื่อร้อยเรียงความทรงจำของตัวเอง  อ่านสบายๆ สนุกดีค่ะ

มูซาชิ (Musashi)

มูซาชิ (Musashi) งานประพันธ์ชิ้นเยี่ยมของอิจิ โยชิกาวา (Eiji Yoshikawa) ผลงานการแปลของ สุวินัย ภรณวิลัย ที่เล่าถึงฉากและชีวิตของมูซาชิ จอมยุทธ์ซามูไรผู้ผ่านการต่อสู้มาอย่างโชกโชน ชนิดไม่รู้จักความแพ้พ่าย มูซาชิร่ำเรียนเพลงดาบหรือฝึกฝนเพลงยุทธ์เพื่อที่จะอยู่ในยุทธจักร แต่ท้ายสุดเรื่องไม่ได้อยู่ที่เพลงดาบว่าใช้ดาบเก่งหรือไม่เก่ง แต่มันอยู่ที่การฝึกฝนหรืออยู่ที่จิตใจ คล้ายๆ ว่ามูซาชิ กระบี่อยู่ที่ใจ ภายหลังมูซาชิได้ยุติบทบาท "นักดาบผู้เก่งกล้า" แห่งยุคแสวงหาสัจจะจากวิถีแห่งดาบ กระทั่งพบหลักการดำเนินชีวิตที่เรียกกันว่า "คัมภีร์แห่งห่วงทั้งห้า" ซึ่งก็คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ และความว่าง นั่นเอง ซึ่งหนังสือเล่มนี้ได้สร้างแรงบันดาลใจให้กับนักเขียนไทยผู้หนึ่ง คือ สุวินัย ภรณวิลัย ถึงขั้นลงลึกศึกษาวิถีแห่งดาบจนเกิด "มูซาชิ ฉบับท่าพระจันทร์" หนังสือขายดีอีกเล่มในวงการหนังสือไทย มูซาชิบางคนก็บอกว่าเป็นเรื่องจริง บ้างก็ว่าเป็นเรื่องที่แต่งขึ้น

Friday, July 1, 2011

ลมต่างทิศ East Wind : West Wind

ลมต่างทิศ หรือ East Wind West Wind ของ เพิร์ล เอส. บัค แปลโดยสังวรณ์ ไกรฤกษ์ ลมต่างทิศ เป็นนวนิยายเรื่องแรกของเพิร์ล เอส บัค ที่ส่งผลให้เธอเป็นที่รู้จักในแวดวงนักอ่านขึ้นมาทันที เป็นเรื่องราวของหญิงสาวชาวจีนในยุคที่เพศหญิงช่างต่ำต้อยด้อยค่ากว่าผู้ชายเสียเหลือเกิน แม้ในปัจจุบันค่านิยมเรื่องหญิงเป็นรองชายของคนจีนจะยังมีอยู่ แต่ในความเข้มข้นถือว่าเจือจางมากแล้วเมื่อเทียบกับใน "ลมต่างทิศ" นี้

นักเขียนหญิงท่านนี้แม้จะเป็นชาวอเมริกัน แต่ได้มีโอกาสใช้ชีวิตในประเทศจีนอยู่นาน จึงสามารถถ่ายทอดรายละเอียดต่างๆ ได้อย่างชัดเจนอย่างคนที่เข้าใจในวัฒนธรรมและวิถีชีวิตของชาวจีนเป็นอย่างดี เราได้เห็นภาพของหญิงผู้ดีชาวจีนที่ถูกมัดเท้าอย่างแน่นหนาเพื่อให้เท้าเล็กที่สุดที่จะเล็กได้เพราะถือว่าสวย ทั้งๆ ที่ต้องทรมานกับความเจ็บปวด และยังทำให้กระดูกเท้าโค้งงอผิดรูปผิดร่าง ได้เห็นภาพการรักษาโรคด้วยความเชื่อแบบเก่า คือเอาผ้ามาอุดปาก จมูก หู ตา เพื่อป้องกันไม่ให้วิญญาณหนี ออกจากร่าง เป็นต้น

อยากให้ผู้หญิงทุกคนได้มีโอกาสอ่านนวนิยายเรื่องนี้ เพราะนอกจากได้ร่วมลุ้นไปกับความพยายามในทุกวิถีทางที่จะเอาใจสามีเพื่อให้ได้มาซึ่งความรักของตัวนางเอกซึ่งเป็นตัวดำเนินเรื่องแล้ว ยังได้เรียนรู้ขนบประเพณี วิธีคิด ค่านิยม ความเชื่อ และอีกหลายๆ ด้านของชาวจีนในยุคนั้นที่เกี่ยวเนื่องกับผู้หญิงอีกมาก และที่สำคัญเหนืออื่นใดก็คือ "ลมต่างทิศ" คงจะไม่อ่านสนุกอ่านเพลินชนิดวางไม่ลงเช่นนี้เป็นแน่ ถ้าไม่เพราะสำนวนแปลของ "สังวรณ์ ไกรฤกษ์" ซึ่งบอกว่าแปลเรื่องนี้ด้วยความชอบเป็นพิเศษส่วนตัวจริงๆ

East Wind : West Wind มีสำนวนแปล 2 ฉบับนะคะ อีกเล่มในชื่อ ทาสประเพณี แปลโดย สันตสิริ ทั้งสองสำนวนแปลทำได้ดีค่ะ

งานเลี้ยงของบาเบตต์ Babette's Feast

งานเลี้ยงของบาเบตต์ Babette's Feast ผลงานของ Isak Dinesen แปลโดยรสวรรณ พึ่งสุจริต งานเลี้ยงของบาเบตต์เป็นวรรณกรรมเกี่ยวกับอาหารแสนน่ารักเรื่องสั้นๆ ที่จะนำผู้อ่านให้รื่นรมย์ไปกับอาหารและเครื่องดื่มรสเลิศได้อย่างไม่รู้เบื่อ อีกทั้งสถานที่และสูตรอาหารต่างๆ ในเรื่องก็ยังมีอยู่จริงอีกด้วย 

หนังสือเล่มนี้จะพาผู้อ่านไปสัมผัสกับดินแดนแห่งฟยอร์ด นอร์เวย์ เมื่อครั้งเหล่าหญิงสาวยังสวมกระโปรงบาน และผู้คนก็ยังคงบริสุทธิ์งดงาม ด้วยเรื่องราวของความเชื่อ ความรัก ศิลปะ และอาหารที่น่ารักปนเสียดสีได้อย่างพอดีและมีชั้นเชิง

เนปาล ประมาณสะดือ

เนปาล ประมาณสะดือ จากผลงานการเดินทางของนิ้วกลมและเพื่อนร่วมทาง 2 คน สู่เนปาล ประเทศที่อุดมสมบูรณ์ด้วยวัฒนธรรม รุ่มรวยด้วยมิตรภาพและรอยยิ้ม การเดินทางครั้งนี้มีเป้าหมายที่จะปีนเทือกเขาหิมาลัย เพื่อไปยังจุดชมวิวที่สวยที่สุด และต้องผจญกับการเดินทางที่เหนื่อยยาก ซ้ำยังต้องแข่งกับเวลา ทำให้การปีนเขาครั้งนี้ต้องเหน็ดเหนื่อยแสนสาหัสจนแทบเดินต่อไม่ไหว สนุกมากค่ะ ทุกย่างก้าวบนเทือกเขาหิมาลัยเหมือนได้ไปผจญภัยกับเขาทั้งสาม

ถนนหนังสือสายคาบูล

ถนนหนังสือสายคาบูล หรือ The Bookseller of Kabul เป็นหนังสือสารคดีเกี่ยวกับชีวิตของคนขายหนังสือ สุลต่าน คานในกรุงคาบูล ประเทศอัฟกานิสถาน หนังสือเล่มนี้เขียนโดยนักข่าวชาวนอร์เวย์ที่เข้าไปทำข่าวในอัฟกานิสถานชื่อ Asne Seierstad แปลโดย จิระนันท์ พิตรปรีชา Asne ได้มีโอกาสไปอาศัยอยู่ร่วมชายคาเดียวกันกับครอบครัวนี้ในช่วงระยะเวลาหนึ่ง ในยุคที่ตาลีบันครองเมือง Asne เขียนเรื่องนี้ในรูปแบบของนิยาย แต่ก็อิงกับเรื่องจริงที่เกิดขึ้น เธอได้ถ่ายทอดชีวิตของชาวอัฟกานิสถาน สภาพบ้านเรือน ผู้คน ถนนหนทาง การถูกจำกัดสิทธิของเพศหญิง การเอาตัวรอดในสภาพอันโหดร้ายลำเค็ญ หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือยอดนิยมตลอดกาลในนอร์เวย์และได้รับการแปลเป็นภาษาต่างๆ นับไม่ถ้วน

Thursday, June 23, 2011

วาดไว้ในเนปาล

วาดไว้ในเนปาล ของนักเขียนที่ชื่นชอบคือ พิษณุ ศุภ ผลงานที่เกิดจากการเดินทางท่องเที่ยวไปในแดนหิมวันต์ กาฐมาณฑุ ปาฏาน ภักตะปุร์ เขานัคราโกฎ ทุกบรรทัดของวาดไว้ในเนปาล เต็มไปด้วยความสงสัยใคร่รู้ ได้เห็นชีวิตผู้คนที่ใช้ชีวิตอย่างพอเพียง บนแผ่นดินสูงเชิงเขาหิมาลัย ได้พบเห็นสิ่งก่อสร้างปราสาทราชวังที่มีอายุเก่าแก่นับพันปี ได้เยือนดินแดนอันศักดิ์สิทธิ์ที่เชื่อว่าทั้งพุทธองค์และพระอรหันต์นับหมื่นเคยประทับรอยบาทไว้ที่นี่ ได้เดินทางทับรอยเส้นทางเสด็จพระราชดำเนินของพระเจ้าอโศกมหาราช กษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ที่ทรงมีคุณูปการแก่พุทธศาสนา และได้มาเห็นเทือกเขาหิมาลัย วาดไว้ในเนปาลเล่มนี้ยังได้หลอมรวมเอาศิลปะของการเขียนและศิลปะของการวาดภาพเข้าไว้ด้วยกันอย่างลงตัว ที่พิเศษไปกว่านั้น ในเล่มนี้ไม่ได้มีเพียงแค่ภาพเขียนของพิษณู ศุภเท่านั้น แต่ยังมีภาพสวยๆ ของศิลปินรับเชิญที่ร่วมเดินทางไปครั้งนี้ด้วย อาทิ อาจารย์ปรีชา เถาทอง  คุณสละ นาคบำรุง คุณทิววัฒน์ ภัทรกุลวณิชย์ อาจารย์ถาวร โกอุดมวิทย์

Tuesday, June 21, 2011

ฟอลคอนแห่งอยุธยา

ในประวัติศาสตร์ไทย มีชาวต่างชาติเข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภารและรับราชการในราชสำนักสยาม จนเป็นที่รู้จักและฝากผลงานไว้ให้ประจักษ์มากมายหลายคน คอนสแตนติน ฟอลคอน ก็เป็นหนึ่งใน "ขุนนางฝรั่ง" ที่ปรากฎชื่อเด่นชัด

เขาเป็นชาวกรีกโดยสัญชาติ แต่ทางสายเลือด เขามีแม่เป็นชาวเวนิสและพ่อเป็นกรีก ชีวิตในถิ่นกำเนิดค่อนข้างคับแค้น ชีวิตของชายผู้นี้น่าสนใจตั้งแต่ชาติกำเนิดทีเดียว ไม่ใช่โชคชะตาที่พาให้เขาเป็นนักล่องเรือสินค้า แต่เป็นเพราะเขากำหนดเอง และไม่ใช่โชคชะตาอีกเช่นกันที่พาเขาให้เข้ามาเป็นขุนนางคู่พระทัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชแห่งกรุงศรีอยุธยา

แคลร์ คีฟ-ฟอกซ์ นักเขียนชาวฝรั่งเศส เห็นความโดดเด่นแห่งวิถีชีวิตของชายชาวกรีกคนนี้ คนธรรมดาที่ได้เป็นถึง เจ้าพระยาวิชาเยนทร์ และเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการแต่งราชทูตจากสมเด็จพระนารายณ์ไปเจริญสัมพันธไมตรี กับพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 แห่งฝรั่งเศส แคลร์ ค้นคว้าจากเอกสารต่างๆ และได้ข้อมูลเชิงลึกมากมายพอที่เธอจะเขียนหนังสือเกี่ยวกับคอนสแตนติน ฟอลคอน อย่างละเอียดได้

ฟอลคอนแห่งอยุธยา หรือ Le ministre des moussons  ไม่ใช่นวนิยายเสียทีเดียว เนื่องจากทุกชื่อทุกคนล้วนมีตัวตน แต่การนำประวัติศาสตร์มาร้อยเรียงเป็นนวนิยายให้น่าอ่านสำหรับบุคคลทั่วไปในวงกว้าง เป็นกลวิธีที่แยบยล เราได้รู้จักสภาพบ้านเมือง สังคม วัฒนธรรม รวมทั้ง "การเมือง" สมัยอยุธยา ผ่านสายตาของ "ฝรั่ง" และได้ร่วมรับรู้ทุกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็นหตุเป็นผล โดยไม่เบื่อจนวางไปเสียก่อน...นานมีบุ๊คส์พับลิเคชั่นส์

เฉลียงตะวันออก

เฉลียงตะวันออก สารคดีท่องเที่ยวของ พิษณุ ศุภ ที่ตามกลิ่นวัฒนธรรมบนปลายทางหมายเลข 9 ลาว-เวียตนาม ตามร่องรอยแห่งสงครามบนดินแดนฝั่งตะวันออก สะหวันนะเขต เว้ มิเซิน ดานัง และโฮจิมินห์ซิตี้ โดยบอกเล่าความเป็นมาของเวียตนามนับแต่วันไร้สันติภาพ กระทั่งต้องเลียแผลฟื้นฟูชาติอย่างจริงจัง ไม่สุงสิงใคร ชนเวียตนามที่เคยถูกตีตราว่าคิดคดทรยศ เป็นโบ๊ตพีเพิลจนต้องหนีภัยออกนอกประเทศ ถูกตามตัวกลับมาพัฒนาบ้านเมืองในฐานะผู้ทรงเกียรติกระทั่งสามารถ "รวมชาติ" ได้เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์อันยาวนาน

บันทึกของชายเฒ่า Diary of a Mad Old Man

บันทึกของชายเฒ่า Diary of a Mad Old Man เป็นบันทึกประจำวันของอัทซึงิ ชายแก่อายุ 77 ปีที่ฟื้นจากอาการเส้นเลือดในสมองแตก เขาพบว่าในขณะที่ร่างกายค่อยๆ เสื่อมลงนั้น ตัณหาของเขายังคงอยู่ และโดยไม่เจตนามันกลับถูกกระตุ้นโดยการปรนนิบัติเฝ้าไข้จากลูกสะใภ้ซึ่งเป็นสาวสวยทันสมัย เป็นนักเต้น ที่มีอดีตไม่ค่อยดีนัก ทั้งที่อัทซึงิดูน่าสมเพชและน่าหัวเราะเยาะ แต่เขาไม่เคยรู้สึกสงสารตัวเอง และบันทึกของเขายังแสดงถึงความเป็นคนอารมณ์ดี มีอารมณ์ขัน

บันทึกของชายเฒ่า ได้พรรณาให้เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างความหมกหมุ่นในกาม และความปรารถนาของการมีชีวิต เป็นบันทึกที่เต็มไปด้วยความสนุกสนานและความเศร้า หนังสือเล่มนี้ยังได้รับรางวัล Imperial Award Junichiro Tanizaki

Monday, June 20, 2011

ความน่าจะเป็นบนเส้นขนาน 3

มาถึงเล่มที่ 3 สำหรับความน่าจะเป็นบนเส้นขนาน ของนักเขียนซีไรต์ 2 ท่านคือวินทร์ เลียววาริณและปราบดา หยุ่น ที่เขียนคุยกันทางอีเมล สำหรับเล่มที่ 3 มีเรื่องที่น่าสนใจคือ คนขึ้นดอย คอยกวางผา กิเลสาธิปไตย ทำไมต้องหุหุ ใครกุเรื่องศิลา ประธานาธิบดีไหม อะไรในเนื้อสัตว์ ปรัชญาพุทธชุดพังก์ คงดังไร้พรมแดน ตัวแทนหรือเผด็จการ คนพาลหรือพ่าย คลื่นร้ายในพริบตา และความรุดหน้าที่หลอกลวง ฯลฯ

ความน่าจะเป็นบนเส้นขนาน 2

ความน่าจะเป็นบนเส้นขนาน เล่ม 2 หนังสือรวบรวมอีเมลโต้ตอบกันระหว่างวินทร์ เลียววาริณ และ ปราบดา หยุ่นที่ตีพิมพ์ลงในนิตยสาร LIPS เมื่อปี พ.ศ.2543 และรวมเล่มออกมาเป็น "ความน่าจะเป็นบนเส้นขนาน 1" จากนั้นทั้งคู่จึงสานต่อความสัมพันธ์กันในนิยสาร Open โดยยังคงเขียนถึงทุกเรื่องราวใต้หล้า ตั้งแต่การเมือง ข่าวลือข่าวหลอก เมืองนอกเมืองนา เข้าป่าแค้มปิ้ง ซึ่งเป็นพื้นที่เปิดเผยตัวตนและแสดงความคิดอย่างชัดเจนที่สุดของชีวิตสองเส้นนี้ ประเด็นโต้ตอบในหนังสือเล่มนี้คือ ข่าวบันเทิง นอนข้างกองไฟ ไปเที่ยวเมืองผู้ดี ทฤษฎีวิทยาศาสตร์ โรงเรียนทางเลือก ไข้หวัดSARS อากาศร้อน นอนไม่หลับ วงการภาพยนตร์ คนชอบโม้ กระแสนิยมนิยาม นักเรียนนอก ปีนดอยดูดาว เป็นต้น

ความน่าจะเป็นบนเส้นขนาน 1

ความน่าจะเป็นบนเส้นขนาน เป็นหนังสือที่นำมาจากอีเมล์โต้ตอบกันระหว่างวินทร์ เลียววาริณ และปราบดา หยุ่น สองนักเขียนต่างวัย แต่เคยได้รางวัลเดียวกันคือรางวัลซีไรต์ เริ่มคบหากันทางอีเมลและตีพิมพ์ลงในนิตยสาร Lips เมื่อปี พ.ศ.2543 โดยไม่มีขอบเขตบังคับทางหัวข้อการสื่อสาร ทั้งคู่จึงเล่าสู่กันอ่านแทบทุกเรื่องราว ตั้งแต่ประวัติพื้นฐานทางครอบครัว ไปจนถึง ความรู้ความเข้าใจต่อโลกจากประสบการณ์ชีวิต หนังที่อ่าน เพลงที่ฟัง หนังที่ดู สำหรับเล่มที่ 1 นี้โต้ตอบกันเรื่องมนุษย์ต่างดาว ปรัชญาตะวันออก วงวรรณกรรม ความทรงจำวัยเด็ก การ์ตูน กำลังภายใน ฝันร้าย ตึกถล่ม สงคราม ความตาย ความรัก เพลงลูกท่ง กีฬา กระจู่กระจิ๋ม และรงค์ วงษ์สวรรค์ เหล่านี้เป็นเพียงบางประเด็นโต้ตอบในโลกแห่ง "ความน่าจะเป็นบนเส้นขนาน"

Kitchen Confidential

Kitchen Confidential  ผลงานของ Anthony Bourdain แปลโดย โตมร ศุขปรีชา หนังสือเล่มนี้ก็ได้ตีแผ่ออกมาอย่างเจ็บแสบ แอนโทนี่ บอร์เดน ใช้มีดอันคมกริบของเขา ผ่าครัวออกมาให้เราเห็น "ไส้ใน" อย่างหมดพุง ทลาย "ภาพพจน์" อันประณีต-สะอาดสะอ้านของ พ่อครัว ชื่อดังระดับโลก อย่างไม่ปรานีปราศรัย ครัวที่สะอาด เรียบร้อย เป็นระเบียบ แท้จริงมันแฝงด้วย "เชื้อโรค" อันชวนอ้วกมากมายมหาศาล ใครจะนึกว่า เชฟ ผู้ผุดผ่องในเสื้อขาวสะอาด แห่งร้านอันหรูหราในนิวยอร์ก ที่มีแขกดังๆ ระดับโลกมาใช้บริการนั้น จะเต็มไปด้วยไอ้ขี้ยา จอมเจ้าเล่ห์ ขี้ขโมย หมกมุ่นในเซ็กซ์ และเป็นมาเฟีย แม้กับตนเอง แอนโทนี่ บอร์เดน ยังไม่ปรานี เขาใช้มีดคว้านท้องตัวเองออกมาให้คนอ่านเห็นไส้ในอย่างล่อนจ้อน เขายอมรับถึงสังคมเน่าๆ ของพ่อครัวที่มากมายไปด้วยความกดดัน ต้องใช้เหล้า ใช้ยา ตั้งแต่แอสไพริน ไปถึง ยาบ้า โคเคน และเฮโรอีน ขณะเดียวกัน สภาพสังคมในครัว (ของสังคมอเมริกัน) ที่ดูสูงส่งด้วยมาตรฐานอันดีเลิศ แท้จริงกลับเป็นสังคมเน่าๆ ที่เหลื่อมล้ำ ตั้งแต่ คนขนขยะ เด็กล้างจาน เด็กเสิร์ฟ ผู้ช่วยพ่อครัว พ่อครัว ซึ่งมากมายด้วยแรงงานอพยพ คนหลบหนีเข้าเมือง คนผิดกฎหมาย ที่มีสิทธิแค่ขลุกอยู่ก้นครัว ไม่มีปากมีเสียง ต้องทำงานอย่างหนัก เพื่อแลกกับค่าแรงถูกและไม่ต้องถูกไล่ออก นอกจากนี้ ในทุกองคาพยพของครัวไม่ว่าจะหรูหราหรือธรรมดา ก็เต็มไปด้วย "รูรั่ว" ที่ถูกเจาะไชด้วยฝีมือของ คนทุกระดับ ทั้งคนในและนอก ตั้งแต่ผู้จัดการร้าน พ่อครัว ไปจนถึงระดับล่างสุด รวมถึง "มาเฟีย" ซึ่งมีตั้งแต่ การแอบกิน การขโมยของ การเรียกเงินใต้โต๊ะ การคอร์รัปชั่น การเรียกค่าคุ้มครอง สิ่งเหล่านี้ สามารถสร้างความหายนะให้เกิดขึ้นต่อหน้าต่อตามานับครั้งไม่ถ้วน การเปลี่ยนงาน ตกงาน ถูกไล่ออก จึงมีบ่อยครั้งจนแทบเป็นเรื่องธรรมดา สำหรับพวกเขา แอนโทนี่ บอร์เดน สรุปโดยไม่ลังเลว่า "ครัว" แท้ที่จริงก็คือ สมรภูมิสงครามดีๆ นี้เอง คนที่จะออกศึก จึงต้องพร้อม จะสามารถเอาตัวรอดได้ ต้องมีความเป็น "มืออาชีพ" อย่างสูง ตัวเขานั้นแม้เริ่มต้นจะมีพรสวรรค์ และมีฝีมือพอตัว แต่เมื่อก้าวไปถึงอีกขั้นหนึ่ง กับกลายเป็นไอ้ไก่อ่อน จนต้องถอดผ้ากันเปื้อน ไปฟันฝ่าอย่างหนักเพื่อจะได้เข้าเรียนการเป็นพ่อครัวอย่างถูกต้อง จาก "ซีไอเอ" อย่าเข้าใจว่าเป็นหน่วยสืบราชการลับของสหรัฐ หากแต่หมายถึง Culinary Institute of America ที่มีชื่อเสียงระดับแนวหน้าของอเมริกาหรือของโลก กระนั้น แม้จะมีประกาศนียบัตรซีไอเอรับรองแล้ว ก็ใช่ "ชีวิตพ่อครัว" จะราบรื่น มันเป็นเพียงใบเบิกอย่างหนึ่งเท่านั้น จะรุ่งหรือจะร่วง ขึ้นอยู่กับฝีมือ ความมีวินัย และการเป็นมืออาชีพอย่างแท้จริงต่างหาก แอนโทนี่ บอร์เดน เอง กว่าจะยืนหยัดบนเส้นทางนี้ได้ ก็แทบจะต้องไปอยู่ในถังก้นครัวที่เต็มไปด้วยขยะเละๆ เขาติดโคเคน เฮโรอีน เปลี่ยนงาน ตกงาน ถูกไล่ออกจากงานไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง จนต้องยกเครื่องตัวเองครั้งใหญ่ ก่อนไปสู่การ "ตกผลึก" ในอาชีพพ่อครัวและนำมันมาชำแหละผ่านตัวหนังสือด้วยภาษาอันจัดจ้านและคมกริบ เหมือนมีดประจำตัวของเขานั่นเอง แม้มีดจะเป็นหัวใจของอาชีพพ่อครัวก็ตาม แต่มีดเล่มเดียวกันนี้ กลับเชือดเฉือนคนเป็นเจ้าของจนมือเต็มไปด้วยริ้วรอยอันน่าเกลียด กระนั้น แอนโทนี่ บอร์เดน บอกว่า "ผมภูมิใจกับรอยเหล่านี้ มันเป็นรอยที่บอกชัดว่าผมเป็นคนครัว เป็นคนที่ทำงานมานานแสนนาน ...ผมจะทำสิ่งนี้ไปอีกนานแค่ไหน ผมไม่รู้ ผมรักมัน คุณเข้าใจไหม"...ที่มา : โดย สุวพงศ์ จั่นฝังเพ็ชร คอลัมน์ร่มรื่นในเงาคิด นิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ ฉบับที่ ๑๑๕๐ ปีที่ ๒๒ ประจำวันที่ ๓๐ สิงหาคม - ๕ กันยายน พ.ศ. ๒๕๔๕

Friday, June 17, 2011

เมียเจ้า The Kitchen God's Wife

เมียเจ้า หรือ The Kitchen God's Wife ของ Amy Tan  แปลโดย นรา สุภัคโรจน์ รู้จัก Amy Tan จากการได้ชมภาพยนตร์เรื่อง The Joy Luck Club ก็ได้ตามหาว่าใครเขียนเรื่องนี้ และเพิ่งได้หนังสือ The Joy Luck Club เมื่อไม่นานมานี้ (แต่ยังเก็บไว้ไม่ได้อ่านเลยค่ะ) หลังจากนั้นมีงานเขียนของ Amy Tan ก็จะต้องซื้อไว้ในครอบครองเสมอ The Kitchen God's Wife เป็นเรื่องราวชีวิตของวินนี่ ลุย ที่เธอเล่าหรือมอบเป็นของขวัญให้แก่เพิร์ล ลูกสาวของเธอ หลายสิ่งหลายอย่างที่เป็นความลับได้ถูกเปิดเผยออกมา ปริศนาของครอบครัวถูกถ่ายทอดสู่ร่นต่อไป สิ่งที่น่าทึ่งใน The Kitchen God's Wife ไม่ใช่เพียงแค่การเล่าเรื่องเท่านั้น แต่เป็นรายละเอียดของชีวิตและขนบธรรมเนียมประเพณีของชาวจีน

The Kitchen God's Wife เป็นเรื่องราวที่น่าเศร้าของชีวิตของผู้หญิงจีนคนหนึ่งที่ถูกทอดทิ้งตั้งแต่เด็ก ต้องพบกับชีวิตแต่งงานที่ผิดหวัง ต้องสูญเสียคนรักและลูก แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นเรื่องที่ขบขัน เพราะเล่าจากสำนวนของหญิงวัยเจ็ดสิบ ที่ประสบการณ์ทั้งหมดได้หล่อหลอมให้เธอกลายเป็นคนช่างประชดประชันเสียดสี...นรา สุภัคโรจน์ ผู้แปล

ศาสตราจารย์ กับ ปราชญ์วิกลจริต The Professor and the Madman

พจนานุกรมอังกฤษออกซฟอร์ด หรือ Oxford English Dictionary ถือกันว่าเป็นหนึ่งในพจนานุกรมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกของภาษาอังกฤษ กระบวนการจัดทำเริ่มขึ้นเมื่อร้อยกว่าปีก่อน และกินเวลานานถึง 70 ปีกว่าจะเสร็จสมบูรณ์ ซึ่งกว่าได้ Oxford English Dictionary เล่มนี้ ไซมอน วินเชสเตอร์ (Simon Winchester) ไปค้นคว้าจากเอกสารหลักฐานต่างๆ ที่ไม่เคยเปิดเผยมาก่อนนับร้อยปีพบว่า มาเป็นหนังสือที่ชื่อ The Professor an the Madman แปลโดยนพดล เวชสวัสดิ์ ไซมอนพบว่าผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จในการจัดทำพจนานุกรมอังกฤษออกซฟอร์ดเล่มนี้คือ ดร.เจมส์ เมอร์เรย์ บรรณาธิการพจนานุกรมอังกฤษออกซฟอร์ด กับบุรุษลึกลับ นพ.ดับเบิลลู.ซี.ไมเนอร์ ที่เป็นอาสาสมัครที่คอยป้อนข้อมูล การรวบรวมคำบรรจุในพจนานุกรม รวมทั้งคอยสอบทานคำในพจนานุกรม และที่น่าประหลาดใจก็คือ คุณหมอไมเนอร์ท่านนี้อยู่ในสภาพวิกลจริตจากการเป็นแพทย์ทหารในสงครามกลางเมือง ความโหดเหี้ยมสยดสยองจากสงคราม บีบคั้นจนทำให้หมอไมเนอร์เป็นบ้า เขาถูกส่งไปอยู่โรงพยาบาลเซนต์แมรีแห่งเบธเลเฮม โรงพยาบาลรักษาผู้มีอาการผิดปกติทางจิต และใช้เวลาในสถานบำบัดแห่งนั้นในการช่วยจัดทำพจนานุกรมฉบับนี้ น่าอ่านมากค่ะสำหรับหนังสือเล่มนี้

ซูสีไทเฮา ราชินีกล้วยไม้ Empress Orchid

Empress Orchid หรือ ซูสีไทเฮา ราชินีดอกกล้วยไม้ เป็นเรื่องราวของพระนางซูสีไทเฮา  จักรพรรดินีผู้เลื่องชื่อแห่งราชวงศ์ชิงของประเทศจีน ซึ่งเป็นราชวงศ์สุดท้ายก่อนที่ยุคราชวงศ์จะถึงคราวล่มสลาย เรื่องราวของพระนางได้มีการตีแผ่เปิดเผยกันจนเป็นที่รู้จักไปทั่วโลกมาแล้ว ทั้งในรูปของบันทึกประวัติศาสตร์และนิยายอิงประวัติศาสตร์จากนักประพันธ์ที่มีชื่อเสียงหลากหลาย ทั้งชาวจีนด้วยกันเองและจากชาวต่างชาติ

หากแต่เรื่องราวที่ได้เคยเรียงร้อยไว้นั้นล้วนแต่เป็นมิติที่แสดงภาพลักษณ์อันโหดร้าย ความมักใหญ่ใฝ่สูงของพระนาง โดยไม่มีใครให้ความสำคัญกับสภาพแวดล้อมในรายละเอียด ที่เป็นทั้งแรงบีบคั้น ผลักดัน และแรงบันดาลใจ ที่ล้วนมีอิทธิพลต่อบทบาทของพระนางในเวลาต่อมา นับว่าแตกต่างกันมากกับมิติที่ได้มีการนำเสนอขึ้นมาใหม่ในฉบับนี้ ที่บอกเรื่องราวในรูปแบบของนิยายอิงประวัติศาสตร์ เป็นการบันทึกเรื่องราวของพระนาง "ราชินีดอกกล้วยไม้" ไว้โดยละเอียด อันเป็นมิติที่เปิดเผยเกี่ยวกับโลกส่วนตัวของพระนางซูสี พร้อมกับเรื่องราวรายละเอียด ในโลกอันเร้นลับที่เต็มไปด้วยมนต์เสน่ห์อันชวนให้เย้ายวนใจ ซึ่ง Anchee Min (นักประพันธ์ชาวจีนที่ได้เคยฝากผลงานที่มีชื่อเสียงไว้กับเรื่องราวของประเทศจีนในยุคใหม่มาแล้ว อาทิ จากเรื่อง Red Azalea, Becoming Madame Mao) ได้บรรจงประพันธ์ขึ้นมาใหม่ จากการพยายามค้นคว้าเอกสารหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่สามารถอ้างอิงได้จากหน่วยราชการที่เกี่ยวข้องของประทศจีนจำนวนมากมาย

จึงถือได้ว่าเรื่องราวของราชินีดอกกล้วยไม้ในภาคนี้ ได้ให้รายละเอียดแง่มุมชีวิต และได้ถ่ายทอดความรู้สึกจากเบื้องลึกในพระทัยของพระนางซูสี ตลอดจนนำเสนอเรื่องราวรายละเอียดในราชสำนักจีน และในมุมมองที่ยังไม่เคยปรากฎว่ามีนักประพันธ์ท่านใดบรรจงรังสรรค์ผลงานมาก่อน นับเป็นนิยายอิงประวัติศาสตร์ที่ไขปริศนาความเร้นลับและการดำเนินชีวิตในนครต้องห้าม ผสมผสานแนววิจิตรกามาได้อย่างดงามลงตัวน่าติดตามยิ่ง...ภคประภา เทพพิทักษ์ ผู้แปล

Wednesday, June 15, 2011

สีเปื้อนฟิล์ม

สีเปื้อนฟิล์ม ผลงานของพิษณุ ศุภ นักเขียนในดวงใจอีกท่านหนึ่ง ซึ่งโดยส่วนตัวจะติดตามผลงานของอาจารย์พิษณุมาโดยตลอด หนังสือของอาจารย์ส่วนใหญ่จะเป็นหนังสือเชิงศิลปะ ท่องเที่ยว ซึ่งมักจะมีภาพวาดสวยๆ ของอาจารย์ประกอบในเล่ม สำหรับสีเปื้อนฟิล์มเล่มนี้ เป็นการเล่าถึงงานศิลปะที่แฝงอยู่ในหนังทั้ง 15 เรื่อง พร้อมๆ กับชีวิตและงานของศิลปิน ที่มาของงานศิลปะที่ปรากฎในแต่ละฉาก เบื้องหลังกองถ่ายกับการเลือกใช้งานศิลปะแต่ละชิ้น การเข้าถึงและไม่ถึงศิลปะของนักแสดงและผู้กำกับ ตัวอย่างหนังที่อาจารย์เลือกมาก็มี Nothing Hill, What Dream May Comes, Surviving Picasso, Frida, A Perfect Murder เป็นต้น สนุกและได้ความรู้ทางด้านศิลปะมากสำหรับหนังสือเล่มนี้ และหวังว่าอาจารย์พิษณุจะเลือกหนังเรื่องอื่นๆ มาเขียนอีก

ทำอย่างไรให้โง่ (Comment je suis devenu stupide)

ทำอย่างไรให้โง่ หรือในชื่อภาษาฝรั่งเศสว่า Comment je suis devenu stupide ผลงานของ Martin Page แปลโดย อธิชา มัญชุนากร เห็นชื่อเรื่องก็รีบคว้ามาอ่าน อ่านแล้วก็ทึ่งกับอองตวน ชายหนุ่มที่เชื่อว่าความฉลาดจะนำความทุกข์ เดียวดาย และความยากจนมากกว่าการเป็นคนโง่ เขาจึงพยายามสรรหาทำเรื่องโง่ๆ เช่น ทำอย่างไรให้ติดเหล้า การพยายามฆ่าตัวตาย แต่เขาก็ไม่สามารถทำได้สำเร็จ เนื่องมาจากลึกๆ แล้วเขาเป็นคนที่ฉลาดมากๆ นั่นเอง อ่านแล้วจะชอบความคิดตลกๆ ของอองตวน หนังสือเล่มนี้ชื่อเรื่องทำให้ชวนเข้าใจผิด เพราะรับรองว่าเมื่อคุณอ่านมันจบลง คุณจะโง่น้อยกว่าตอนที่ยังไม่ได้อ่านแน่ๆ หนังสือเล่มนี้ได้รับการโหวตจากนักศึกษาในยุโรปให้ได้รับรางวัล The Euregio-Schuler-Literaturpreis แปลเป็นภาษาต่างประทศแล้ว 24 ภาษา

เปิดตำนาน เขี้ยว+เขี้ยว พี่น้อง "ซาทชิ".

เปิดตำนาน เขี้ยว+เขี้ยว พี่น้อง "ซาทชิ" เรียบเรียงโดย เพ็ญศรี เผ่าเหลืองทอง เรื่องราวของสองพี่น้องซาทชิ
ชาร์ลส์ ซาทชิ ผู้พี่เก่งกาจในการสร้างสรรค์งานโฆษณา ส่วมมอริส ซาทชิ ปราดเปรื่องด้านธุรกิจ อาณาจักร ซาทชิ แอนด์ ซาทชิ แผ่ขยายกว้างใหญ่ไพศาลจนผงาดเป็นเอเยนซี่โฆษณายักษ์ใหญ่รายหนึ่งของโลกจากการใช้กลยุทธ์การควบรวมกิจการซึ่งเป็นเส้นทางลัดของธุรกิจยุคใหม่ สำหรับคนที่สนใจงานโฆษณาน่าอ่านมากสำหรับหนังสือเล่มนี้

Sunday, June 12, 2011

ปั้นข้ามฝัน 2,000 วันรอบโลก เล่ม 4: อัศจรรย์เอเชีย

ปั่นข้ามฝัน 2,000 วันรอบโลก เล่ม 4 อัศจรรย์เอเชีย เรียบเรียงโดย นรุตม์ เล่มนี้เป็นเล่มสุดท้ายเรื่องราวการปั่นจักรยานท่องโลกของ "วรรณและหมู" เป็นการเดินทางเข้าสู่ทวีปเอเชียเพื่อกลับบ้าน จึงเท่ากับว่าเป็นการเดินทางระยะสุดท้ายแล้ว เรื่องราวในเล่มนี้มีประสบการณ์ที่ทั้งคู่ได้พบเจอแล้วนำมาบอกเล่า ทั้งเรื่องผู้คน ความเป็นอยู่ และสภาพภูมิศาสตร์ ไม่ว่าจะเป็น รัสเซีย คาซัคสถาน อุซเบกิสถาน จีน ลาว เวียตนาม ฯลฯ เป็นอัศจรรย์แห่งเอเซียที่ไม่อยากให้คุณพลาด  ทั้ง 4 เล่มนี้น่าจะเป็นแรงบันดาลใจให้กับหลายๆ คนที่มีความฝันที่จะท่องโลกด้วยจักรยานว่าสามารถเป็นไปได้และไม่ไกลเกินเอื้อม ถ้าคุณไม่ละความพยายาม

ปั้นข้ามฝัน 2,000 วันรอบโลก เล่ม 3: ยุโรป โรแมนติก

ปั่นข้ามฝัน...2,000 วันรอบโลก เล่ม 3 ยุโรปโรแมนติก ของวรรณกับหมู เล่มนี้เรียบเรียงโดย นรุตม์ เป็นการเดินทางเข้าสู่ทวีปยุโรป ซึ่งเป็นดินแดนแสนสวยและโรเมนติกแห่งหนึ่งของโลก การเดินทางของทั้งค่ในเล่มนี้อาจจะไม่โลดโผน ตื่นเต้น ผจญภัยมากนัก แต่สิ่งที่เขาทั้งสองบอกเล่านั้นก็เป็นความประทับใจที่เกิดจากน้ำใจไมตรีของผู้คนที่พบเจอ ท่ามกลางทิวทัศน์อันงดงาม แล้ที่แน่ๆ ก็คือ ภาพสวย อ่านสนุกไม่แพ้กัน...นรุตม์
                                                           

ปั่นข้ามฝัน...2,000 วันรอบโลก เล่ม 2: หลงเสน่ห์อเมริกาถึงโมร็อกโก

ปั่นข้ามฝัน...2,000 วันรอบโลก เล่ม 2 หลงเสน่ห์อเมริกาถึงโมร็อกโก หมูกับวรรณ ใช้เวลานับตั้งแต่เริ่มปั่นจักรยานออกจากประเทศไทย เป็นเวลา 1 ปีกับ 10 เดือน ซึ่งได้พบทั้งเรื่องประทับใจ ทั้งเรื่องตื่นเต้นอย่างเช่นการโดนโจรปล้นที่เอกวาดอร์ รวมถึงอีกหลากหลายเหตุการณ์ที่เกิดไม่ซ้ำแต่ละวัน คือความสนุกของหนังสือชุดนี้ สำหรับเล่มนี้เป็นการปั่นจักรยานจากทวีปอเมริกาใต้ ไปยังสหรัฐอเมริกา และข้ามสู่ประเทศโมร็อกโก ทวีปแอฟริกา นับเป็นครึ่งทางของการเดินทาง เรื่องราวและประสบการณ์จากสิ่งที่พบเห็นถูกบันทึกและถ่ายทอดไว้ให้อ่านในเล่มนี้พร้อมรูปภาพสวยๆ ประกอบเรื่องเล่าของเขาทั้งสอง

Saturday, June 11, 2011

ปั่นข้ามฝัน...2,000 วันรอบโลก เล่ม 1: ปลายขอบฟ้าที่โลกใต้

ปั่นข้ามฝัน...2,000 วันรอบโลก เป็นหนังสือที่บันทึกการเดินทางด้วยจักรยานรอบโลก เป็นระยะเวลาเดินทาง 2,000 วันของสองสามีภรรยา "วรรณกับหมู" ออกมาเป็นชุด 4 เล่ม เล่มแรก ปลายขอบฟ้าที่โลกใต้ เรียบเรียงโดย อรสา ศิริไข อ่านสนุกมากและทึ่งกับการเดินทางของเขาทั้งสอง อานแล้วได้รู้ถึงสภาพแวดล้อม ชีวิตของท้องถิ่นที่เขาปั่นจักรยานผ่าน ปัญหาต่างๆ นานาที่เขาต้องเผชิญ อันตรายที่เกิดขึ้นระหว่างการเดินทาง อ่านแล้วลุ้นเอาใจช่วยกับสองนั่กปั้นนี้ตลอดเวลา เล่มนี้เป็นการเริ่มปั่นจากเมืองไทย ผ่านมาเลเซีย อินโดนีเซีย เข้าสู่ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ แล้วข้ามมหาสมุทรถิ่นละตินอเมริกา ดินแดนอันไกลโพ้นที่มีทั้งความสวยงาม ความลึกลับและภยันตราย จนทั้งคู่เกือบต้องเลิกร้างชีวิตคู่ และเอาชีวิตไท้งไว้ในป่าของประเทศเอกวาดอร์

Friday, June 10, 2011

เรอเน่ กอสซินนี่ (René Goscinny) และ ฌอง-ฌาคส์ ซอมเป้ (Jean-Jacques Sempé)


แนะนำนักเขียนผลงานน่ารัก 3 เล่มคือ หนูน้อยนิโกลา, นิโคลากับเพื่อนจอมยุ่ง และ จอมซนนิโคลาส กอสซินนี่ (René Goscinny) เกิด 14 สิงหาคม ค.ศ.1926 ที่ปารีส ฝรั่งเศส  บิดามารดาได้นำเขาไปยังประเทศอาร์เจนตินาตั้งแต่วัยเด็ก ซึ่งที่นั่นเขาได้ศึกษาจนจบจาก Collège Francais de Buenos Aires นับได้ว่าประสบความสำเร็จทางการศึกษาอย่างดีเยี่ยม ส่วนในการทำงานก็มีประสบการณ์หลายด้านด้วยกัน เช่น เป็นผู้ช่วยสมุห์บัญชี, นักวาดภาพฝึกหัดในสำนักพิมพ์, เลนาขุการ, ทหาร, นักวาดภาพการ์ตูน และเป็นนักหนังสือพิมพ์ในที่สุด


กอสซินนี่ ได้สร้างสรรค์ผลงานการ์ตูนสำหรับเด็กหลายเรื่อง โดยร่วมกับนักเขียนการ์ตูนที่มีชื่อเสียงหลายคน เรื่องที่ได้รับกล่าวขวัญมากที่สุดคือ “Astérix”  เรอเน่ กอสซินนี่ ถึงแก่กรรมเมื่อ ค.ศ.1977


สำหรับผู้เขียนภาพประกอบ ฌอง-ฌาคส์ ซอมเป้ (Jean-Jacques Sempé) เกิด 17 สิงหาคม ค.ศ.1932 ที่เมืองบอร์โดซ์ ประเทศฝรั่งเศส ได้รับการศึกษาปานกลาง ในวัยเด็กมักจะก่อเรื่องวุ่นวายอยู่เสมอ จึงถูกส่งตัวไปยังสถานดัดสันดานในที่สุด
เมื่ออายุได้ 19 เขาเริ่มสนใจเขียนภาพการ์ตูนชวนหัว และหลังจากมุมานะพยายามอยู่นานจึงประสบความสำเร็จ ผลงานของเขาปรากฎในนิตยสารและหนังสือพิมพ์หลายฉบับ เช่น Paris-Match, Punch และ l’Express เป็นต้น


 นอกจากนี้ยังมีผลงานการ์ตูนที่เด่นหลายเรื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “Le Petit Nicolas” ซึ่งเขาได้สร้างสรรค์สู่โลกวรรณกรรมเมื่อ ค.ศ.1954 โดยร่วมกับกอสซินนี่ ซอมเป้ มีบุตรชายคนหนึ่งให้ชื่อว่า “นิโคลา” เช่นเดียวกับผลงานของเขา

จอมซนนิโคลาส Nicholas on Holiday

จอมซนนิโคลาส แปลมาจาก Nicholas on Holiday ซึ่งเป็นผลงานวรรณกรรมเยาวชนของ Giscinny และ Sempe สองนักเขียนมีชื่อชาวฝรั่งเศส แปลโดย สุพรรณิการ์ เป็นเรื่องของครอบครัวๆ หนึ่ง ซึ่งมีพ่อแม่และลูกชายคนเดียว ชื่อ "นิโคลาส" เด็กเจ้ามายาจอมซน งานของกอสซินนี่-ซอมเป้น่ารักและบริสุทธิ์ทุกเล่ม เล่มนี้ไม่มีภาพวาดประกอบเหมือน 2 เล่มที่ผ่านมา

Monday, June 6, 2011

หนูน้อยนิโคลา หรือ Le petit Nicolas

หนูน้อนนิโคลา หรือ Le petit Nicolas ผลงานสร้างสรรค์ของ กอสซินี ภาพประกอบในเล่มโดย ซองเป้ แปลโดยภิญญศักดิ์ กลิ่นขจาย เป็นชุดเดียวกับ "นิโคลากับเพื่อนจอมยุ่ง"  เป็นเรื่องราวของเด็กๆที่มีความบริสุทธิ์แต่แสนกวน และความซนที่แสนน่ารักของหนุน้อยนิโคลา และเพื่อนๆ ร่วมชั้นเรียนที่เหมือนจับปูใส่กระด้งจนเป็นที่ปวดเศียรเวียนเกล้าของคุณครูนั้น ทำให้เราได้อมยิ้ม หัวเราะ และคิดถึงวัยเด็กด้วยความประทับใจ หนังสือเล่มนี้รับรองจะให้ความประทับใจกับผู้อ่าน อ่านได้เพลินๆ สบายใจ นอกจากเนื้อเรื่องจะน่ารักน่าเอ็นดูแล้ว ภาพประกอบในเล่มซึ่งเป็นภาพจากต้นฉบับเดิม ก็มีส่วนช่วยเป็นอันมากให้อ่านได้อรรถรสสมบูรณ์

นิโคลา กับเพื่อนจอมยุ่ง

นิโคลากับ เพื่อนจอมยุ่ง หรือ Les recres du petit Nicolas เป็นผลงานสร้างสรรค์ที่เยี่ยมยอดและเหมาะเจาะกลมกลืนที่สุด ของความสัมพันธ์ระหว่างเนื้อเรื่องอันละเอียดอ่อน สนุกสนาน ของ "กอสซินนี่" กับภาพประกอบที่เต็มไปด้วยชีวิตชีวา และอารมณ์ขันของ "ซอมเป้" ผู้แปลคือ ภิญญศักดิ์ กลิ่นขจาย ได้เคยกล่าวถึงผลงานสร้างสรรค์ชุดนี้ว่า "กล่าวถึงชีวิตของเด็กๆ ที่มีทั้งความสนุกสนาน ความสมหวัง ความผิดหวัง ความแก่นแก้วและเกเร แม้กระนั้นก็เต็มไปด้วยมิตรภาพของเด็กๆ และให้เห็นบทบาทของครู และพ่อแม่ในการอบรมเลี้ยงดูเด็กๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความบริสุทธิ์ไร้เดียงสาของเด็กๆ ซึ่งพร้อมที่จะรับประสบการณ์ใหม่ๆ และพร้อมที่จะเติบโตเป็นใหญ่"  หนังสือเล่มนี้เป็นอีกหนึ่งความประทับใจ ภาพประกอบและเนื้อเรื่องน่ารักมาก

Friday, June 3, 2011

ฮิกาซีน ฉบับพิเศษ ซ่างไห่ เสี่ยวหลงทาง

ฮิกาซีน ฉบับพิเศษ ซ่างไห่ เสี่ยวหลงทาง เป็นบันทึกการเดินทางแบบผ่าเหล่าผ่ากอของกลุ่มเพื่อนถาปัดจุฬา 6 คน ที่ชวนกันไปลุยเซี่ยงไฮ้ โดยมีจุดหมายคือการเที่ยวงาน World Expo 2010  หนังสือเล่มนี้ไม่ใช่คู่มือนำเที่ยวเซี่ยงไฮ้แต่อย่างใด แต่ถ้าอ่านกันจริงๆ แล้วแฝงเรื่องน่ารู้ของเซี่ยงไฮ้เอาไว้เพียบโดยเฉพาะการเล่าแบบถาปัดๆ หนังสือมีรูปทั้งเล่ม เป็นหนังสือที่ใช้รูปเล่าเรื่องแบบกวนๆ ถ้าจะไปเที่ยวเซี่ยงไฮ้คงจะหยิบหนังสือเล่มนี้มาอ่านอีก

หัวใช้เท้า

หัวใช้เท้า ฉบับวชิรา กับเรื่องราวการเดินทางน่าเหลือเชื่อในแผ่นดินปักกิ่ง - เซียงไฮ้ - ลอนดอน - ดูไบ - และศรีลังกา จากคอลัมน์ท่องเที่ยวแปลกตา ในนิตยสาร a day ถูกรวบรวมไว้แล้วในหนังสือเล่มนี้ “หัวใช้เท้า” เป็นหนังสือเล่าเรื่องการท่องเที่ยว แต่เป็นการเที่ยวที่เก็บบรรยากาศของสิ่งรอบข้างที่พบเจอมาเล่าอย่างสนุกสนาน อ่านแล้วต้องอมยิ้มกับหลายบรรทัดของหนังสือเล่มนี้  การเดินทางของวชิราเป็นการเดินทางคนเดียว ด้วยแนวคิดว่า การเดินทางโดยลำพังคือการผจญภัย การวางจุดหมายอย่างหลวมๆ ละทิ้งกำหนดการรุงรังต่างๆ ไป ทำให้ตัวเบา เมื่อตัวเบาก็จะโปร่งสบายพร้อมที่จะพบเจอผู้คนและประสบการณ์แปลกใหม่ และวชิราก็ได้นำประสบการณ์ท่พบนั้นนั้นมาเล่าในหนังสือที่ชื่อ "หัวใช้เท้า" เนื่องจากหัวไม่มีขาและเท้าไม่มีตา ทั้งสองส่วนจึงต้อง "ร่วมตัว" เดินทางไปด้วยกัน

Thursday, June 2, 2011

South of the Border West of the Sun การปรากฎตัวของหญิงสาวในคืนฝนตก

การปรากฎตัวของหญิงสาวในคืนฝนตก หรือ South of the Border West of the Sun ของฮารูกิ มูราคามิ นักเขียนใหญ่ระดับโลกชาวญี่ปุ่น จากฝีมือการแปลของ โตมร ศุขปรีชา หนังสือเล่มนี้เล่าเรื่องราวของชายวัยกลางคนคนหนึ่ง ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน และมีชีวิตครอบครัวอบอุ่น มันเป็นชีวิตที่ดูเผินๆ คล้ายเรียบง่ายสบายดี หากในใจยังคงครวญหารักแรกในวัยเยาว์ จนกระทั่งวันหนึ่งหญิงสาวจากอดีตผู้นั้นย้อนกลับมา หนังสือเล่มนี้แตกต่างจากสิ่งที่ผู้คนคาดหวังจากมูราคามิ เหนือจริงและซับซ้อนน้อยกว่า ใครครวญไตร่ตรองมากกว่า ตลกน้อยกว่า และใกล้ๆ กับชีวิตเรามากกว่า

Life of Pi การเดินทางของพาย พาเทล

จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อตัวไฮอีนา ม้าลายขาหัก ลิงอุรังอุตัง เสือโคร่งตัวโตและเด็กชายชาวอินเดียวัยสิบหกปี ต้องมาอยู่บนเรือชูชีพลำเดียวกัน หลังเรือแตกกลางมหาสมุทร นี่คือเรื่องโดยย่อของ Life of Pi หรือ การเดินทางของพาย พาเทล ผลงานของนักเขียนหน้าใหม่ ยานน์ มาร์เทล (Yann Martel) แปลโดย ตะวัน พงศ์บุรุษ Life of Pi พิชิตใจนักอ่านและพิชิตรางวัลมาได้ด้วยความมหัศจรรย์ของการเล่าเรื่องอย่างแท้จริง นั่นคือแปลกใหม่ไม่เมือนใคร แค่บอกว่าเป็นเรื่องของเด็กชายชาวอินเดีย ผู้ติดอยู่บนเรือกับเสือเบงกอลนานถึง 227 วันโดยไม่ตายก็น่าทึ่งแล้ว ที่สนุกของเรื่องนี้ก็คือ การเอาตัวรอดกับชีวิตบนเรือโดยมีเสือเบงกอลพร้อมที่จะกินอยู่ตลอดเวลา คนกับเสือผจญทะเลด้วยกัน กลายเป็นเรื่องราวอันพิสดารที่ไม่มีใครเหมือน ทำให้ยานน์ มาร์เทล นักเขียนไร้ชื่อกลายเป็นศิลปินผู้ยิ่งใหญ่ในชั่วข้ามคืน

ทิเบตสองขา

ทิเบตสองขา ผลงานเขียนของกิตติพงษ์ กองแก้ว (โอ๊ตนนท์) เรื่องราวการเดินทางของสองหนุ่มเพื่อนสนิท ต่างชาติ ต่างภาษา หนึ่งหนุ่มไทย ."โอ๊ต" กับอีกหนึ่งหนุ่มฮ่องกง "ก้อง" ที่ชวนกันไปปั่นจักรยานไปพิชิตหลังคาโลก การเดินทางจากเมืองเหนือของไทย เข้าสู่ประเทศจีน และมุ่งสู่ทิเบต ที่น่าทึ่งคือการเดินทางของพวกเขาไม่ใช่แค่ ไป-กลับ แต่เขาทั้งสองกับเริ่มตันชีวิตที่นี่ด้วยการเปิดร้านกาแฟบนหลังคาโลก หนังสือเรื่องนี้อ่านสนุกมาก จนอยากชวนคุณซ้อนท้ายจักรยานไปนั่งชิลล์บนหลังคาโลก

Wednesday, June 1, 2011

เซียนโปสการ์ด Postcard Lovers


เซียนโปสการ์ด เป็นอีกหนึ่งผลงานของเพลงดาบแม่น้ำร้อยสาย ซึ่งรวบรวมเสน่ห์ของกระดาษแผ่นเล็กๆ ที่มาทางไปรษณีย์ เพลงดาบฯ บอกไว้ในหนังสือว่าเธอติดนิสัยชอบเขียนโปสการ์ด ทั้งในยามท่องเที่ยวและยามอยู่เหย้าเฝ้าคอนโดเฉยๆ  เซียนโปสการ์ดไม่ใช่หนังสือภาพไว้ดูเล่นอย่างเดียว เนื้อหาด้านหลังโปสการ์ดก็น่าอ่านไม่แพ้หนังสือเล่มไหนๆ เช่นกัน โปสการ์ดจึงคล้ายเป็นมิติของการเดินทาง การส่งผ่านความคิดถึง และบันทึกความทรงจำด้วยภาพและตัวหนังสือครบสมบูรณ์ในกระดาษแผ่นเดียว มันไม่ต้องการแม้ซองบรรจุหรือสิ่งหุ้มห่อใดๆ โปสการ์ด จึงเป็นสื่อที่ไม่มีความลับ อ่านแล้วทำให้รู้ว่าในโลกใบนี้มีโปสการ์ดหลากหลายแบบ เช่นโปสการ์ดทำด้วยไม้ ทำจากพลาสติก หนัง คนที่ชอบโปสการ์ด หรือชอบดูภาพสวยบนโปสการ์ดต้องชอบหนังสือเล่มนี้

ฉากรัก


หนังสือสวยของเพลงดาบแม่น้ำร้อยสายอักเล่มคือ ฉากรัก หรือ Love Scene นักเขียนคนโปรด ที่มักจะพาผู้อ่านไปท่องเที่ยวยังที่แปลกหูแปลกตา ไปพบผู้คนต่างแดน และได้สัมผัสถึงความประทับใจจากการเดินทางผ่านงานเขียนของเธอ ในเล่มที่แล้ว หัวใจติดแสตมป์ จะเล่าเรื่องจากโปสการ์ด แต่เล่มนี้เธอเล่าเรื่องการเดินทางท่องเที่ยว โดยถ่ายทอดออกมาเป็นฉากที่เธอประทับใจสั้นๆ ประกอบการวดภาพสีน้ำ ซึ่งเธอบอกเพิ่งหัดวาด แต่ผลงานวาดภาพสีน้ำของเธอสวยมากเชียวค่ะ ชอบการเลือกกระดาษที่มาจัดพิมพ์หนังสือเล่มนี้ ดูเก่าเหมือนซับสีน้ำยังไงก็ไม่รู้ ภาพเขียนสีน้ำที่อ่อนหวานและเรื่องราวอันน่าสนุกจากการเดินทางของผู้เขียน เมื่อหยิบมาอ่านทีไรก็อิ่มเอิบมีความสุขทุกครั้ง คนอะไรเก่งจริงๆ

หัวใจติดแสตมป์


หนังสือเล่มสวยเล่มนี้ หัวใจติดสแตมป์ ผลงานของเพลงดาบแม่น้ำร้อยสาย นักเดินทางที่เล่าเรื่องผ่านโปสการ์ดที่ส่งถึงเพื่อนๆ และตัวเอง เธอเป็นนักบันทึกตัวยงและบันทึกของเธอไม่ได้มีเพียงข้อเขียนกับภาพดังที่เราคุ้นเคยเท่านั้น เพลงดาบฯ ชื่นชมการเขียน ส่ง และสะสมโปสการ์ดเป็นชีวิตจิตใจด้วย เป็นการเก็บความทรงจำที่ดีอีกรูปแบบหนึ่ง หนังสือเล่มนี้รวบรวมจากการเดินทางทั้งชีวิตกว่า 16 ปีของเธอ โดยส่วนตัวจะเก็บหนังสือของเพลงดาบแม่น้ำร้อยสายทุกเล่มที่ออกมา เพราะหนังสือของเธอสวยทั้งภาพประกอบ สวยทั้งการจัดวาง เป็นหนังสือรักอีกเล่มหนึ่ง

Tuesday, May 31, 2011

The Diary of a Young Girl By Anne Frank

บันทึกลับ ของ แอนน์ แฟร้งค์ หรือ The Diary of a Young Girl by Anne Frank  เขียนโดย แอนน์ แฟร้งค์ (อันเน่อ ฟรังค์) แปลโดย สังวรณ์ ไกรฤกษ์ แอนน์ แฟร้งค์ เด็กผ้หญิงชาวยิวที่ต้องหลบซ่อนพวกนาซีเยอรมันอยู่ในฮอลแลนด์ที่ถูกยึดครองอยู่ 2 ปี เริ่มเขียนสมุดบันทึกในที่หลบซ่อน เมื่อวันที่ 12 มิถุนายน ค.ศ.1942 และสิ้นสุดการบันทึกเมื่อวันที่ 1 สิงหาคม ค.ศ.1944 อีกสามวันต่อมาก็ถูกจับพร้อมผู้หลบซ่อนรวม 8 คน และถูกนำไปยังค่ายกักกันแบร์กเกิ้น-เบลเซิ่นและเสียชีวิตด้วยโรคไทฟอยด์    แอนน์ แฟร้งค์เล่าถึง 8 ชีวิตที่ต้องใช้ชีวิตร่วมกันในที่หลบซ่อนซึ่งต้องเก็บตัวเงียบ ไม่ให้มีเสียงเล็ดลอดออกสู่ภายนอก เล่าถึงการใช้ชีวิตในแต่ละวัน ความรัก ความใฝ่ผัน ความกลัวที่สร้างความประทับใจให้กับคนทั้งโลก กับการเผชิญกับชะตากรรมอันโหดร้ายของเด็กหญิงเล็กๆ คนหนึ่ง หนังสือของเธอได้รักการแปลและพิมพ์เป็นภาษาต่างๆ กว่า 55 ภาษา และเรื่องนี้ยังนำมาทำเป็นละครบรอดเวย์ในนิวยอร์คและประเทศอังกฤษ สร้างเป็นภาพยนตร์ และออกแสดงทางโทรทัศน์ด้วยเป็นที่ยกย่องว่าเป็นเรื่องจริงที่อมตะ ชื่อของแอนน์ แฟร้งค์ จึงแพร่สะพัดไปทั่วโลกอยู่จนทุกวันนี้